เติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan) เป็นหนึ่งในประเทศที่น้อยคนจะได้รู้จักหรือเดินทางไปเยือน ตั้งอยู่ในเอเชียกลางและมีพรมแดนติดกับประเทศอิหร่าน อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน และคาซัคสถาน แม้ว่าเติร์กเมนิสถานจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ลึกล้ำ แต่ความปิดกั้นของรัฐบาลและการควบคุมทางการเมืองทำให้ประเทศนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ความลึกลับของเติร์กเมนิสถาน
แนะนำประเทศเติร์กเมนิสถานที่น้อยคนนักจะรู้จัก
เติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan) เป็นประเทศหนึ่งในเอเชียกลางที่น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยเยือน มีพรมแดนติดกับอิหร่าน อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน และคาซัคสถาน แม้ว่าจะมีภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง แต่การปิดกั้นทางการเมืองและการเข้าถึงที่จำกัดทำให้เติร์กเมนิสถานยังคงเป็นประเทศลึกลับและยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการท่องเที่ยว ถึงกระนั้น เติร์กเมนิสถานก็เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครและมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร
วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเติร์กเมนิสถาน
เติร์กเมนิสถานมีวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและมีรากฐานมาจากอารยธรรมโบราณ อิทธิพลจากจักรวรรดิโรมัน เปอร์เซีย และอิสลามต่างก็ได้หล่อหลอมวัฒนธรรมของประเทศนี้ให้เป็นเอกลักษณ์ เติร์กเมนิสถานเคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญบนเส้นทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งเชื่อมต่อการค้าระหว่างเอเชียและยุโรป นอกจากประวัติศาสตร์การค้าแล้ว ประเทศนี้ยังมีตำนานและเรื่องราวทางศาสนาที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน
หนึ่งในแง่มุมที่น่าสนใจของวัฒนธรรมท้องถิ่นคือการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนในทะเลทราย ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชนเผ่าต่าง ๆ ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ นอกจากนี้ ประเทศยังมีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงอารยธรรมอิสลามอย่างเช่นสุเหร่าที่สวยงามและอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าความเป็นมาอันยาวนาน
ประตูสู่นรก (Darvaza Gas Crater)
การแนะนำสถานที่ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของเติร์กเมนิสถาน
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเติร์กเมนิสถานคือ “ประตูสู่นรก” หรือ “Darvaza Gas Crater” หลุมไฟขนาดยักษ์ที่ยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่องและไม่เคยดับตั้งแต่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน หลุมไฟนี้ตั้งอยู่ในทะเลทรายคาราคุม (Karakum Desert) และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในฐานะสัญลักษณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งของเติร์กเมนิสถาน
ความเป็นมาของปล่องแก๊สที่ลุกไหม้ต่อเนื่องหลายทศวรรษ
ประตูสู่นรกเกิดขึ้นในปี 1971 เมื่อทีมสำรวจโซเวียตขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทะเลทราย แต่เมื่อขุดลงไปถึงแหล่งก๊าซใต้ดิน ปรากฏว่าแผ่นดินใต้ดินเริ่มยุบตัวลงและเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ก๊าซมีเทนที่หลุดออกมาจากหลุมสร้างความกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อคนในพื้นที่ ทีมสำรวจจึงตัดสินใจจุดไฟเผาก๊าซ โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่กี่วันก๊าซจะหมดไป แต่ผิดคาด ไฟในหลุมนี้กลับลุกไหม้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 70 เมตร และความลึกประมาณ 30 เมตร หลุมไฟนี้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง หลุมไฟที่ลุกไหม้ตลอดเวลาในยามค่ำคืนสร้างภาพที่น่าประทับใจจนมีชื่อเล่นว่า “ประตูสู่นรก” และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเติร์กเมนิสถาน
เมืองโบราณ Merv
สำรวจซากปรักหักพังของเมืองโบราณที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในเส้นทางสายไหม
เมืองโบราณ Merv เป็นหนึ่งในแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) ที่ตั้งอยู่ในเติร์กเมนิสถานและถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในเส้นทางสายไหม เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ เมือง Merv เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยจักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิเปอร์เซีย
ปัจจุบัน ซากปรักหักพังของเมือง Merv ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้จะมีการทำลายและย่อยสลายตามกาลเวลา นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสามารถเดินชมกำแพงโบราณ สุเหร่า และปราสาทที่เหลือเพียงร่องรอย แต่ยังคงบอกเล่าเรื่องราวของเมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความมั่งคั่งในอดีต
เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ Ashgabat
การสำรวจสถาปัตยกรรมที่งดงามและความโดดเด่นของ Ashgabat
อาชกาบัต (Ashgabat) เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน เป็นหนึ่งในเมืองที่โดดเด่นที่สุดในเอเชียกลาง ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างเป็นระบบหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1948 และตั้งแต่นั้นมาก็มีการพัฒนาและสร้างอาคารที่ทันสมัย รวมถึงอนุสาวรีย์ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของประเทศ หนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของอาชกาบัตคือการใช้หินอ่อนสีขาวในการก่อสร้างอาคาร ทำให้เมืองนี้ได้รับการบันทึกในสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นเมืองที่มีการใช้หินอ่อนสีขาวมากที่สุดในโลก
สถาปัตยกรรมที่น่าประทับใจในเมืองนี้รวมถึงอนุสาวรีย์แห่งความเป็นกลาง (Monument of Neutrality) ที่มีความสูงถึง 95 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการที่เติร์กเมนิสถานประกาศเป็นประเทศที่เป็นกลางทางการเมือง นอกจากนี้ยังมีพระราชวัง Ruhyyet ที่สร้างขึ้นอย่างหรูหราเพื่อใช้ในงานรัฐพิธีสำคัญต่าง ๆ และมัสยิด Turkmenbashi Ruhy ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แสดงถึงการผสมผสานของสถาปัตยกรรมอิสลามและสมัยใหม่
ทะเลทราย Karakum ความงามอันเงียบสงบ
ความเป็นมาของทะเลทรายที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
ทะเลทรายคาราคุม (Karakum Desert) เป็นทะเลทรายที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 70% ของเติร์กเมนิสถาน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร คาราคุมหมายถึง “ทรายดำ” ในภาษาท้องถิ่น เนื่องจากมีสภาพดินที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ทะเลทรายแห่งนี้ไม่เพียงแค่เงียบสงบและสวยงาม แต่ยังมีความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศอีกด้วย
ภูมิประเทศของทะเลทรายคาราคุมมีลักษณะเป็นเนินทรายสูงต่ำและทะเลสาบเค็มที่เกิดจากการระเหยของน้ำในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ทะเลทรายแห่งนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย รวมถึงแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญ ทำให้ทะเลทรายคาราคุมกลายเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อประเทศ แม้ว่าจะมีความแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงในช่วงกลางวัน แต่ทะเลทรายนี้ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงามของธรรมชาติที่เงียบสงบและไม่ถูกรบกวน
สรุป
เติร์กเมนิสถานเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่น่าทึ่ง แม้ว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ท้าทายสำหรับนักท่องเที่ยว แต่การเดินทางไปยังประเทศนี้จะให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หลุมไฟดาร์วาซา ไปจนถึงการสัมผัสวัฒนธรรมในทะเลทรายคาราคุม
ชมบทความท่องเที่ยวอื่นๆได้ที่นี้