ทัวร์เลบานอน – ซีเรีย (Lebanon – Syria)

วันที่ 1 : กรุงเทพ (Bangkok)

• 22.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประตู 9 เคาน์เตอร์ T สายการบิน Emirates

วันที่ 2 : กรุงเทพ (Bangkok) – ดูไบ (Dubai) – เบรุต (Beirut)

• 02.00 น. ออกเดินทางออกจากกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Emirates EK 371 (ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง)
• 06.00 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ (Dubai) พักเปลี่ยนเครื่อง 1.5 ชั่วโมง
• 07.30 น. ออกเดินทางสู่กรุงเบรุต ด้วยสายการบิน Emirates EK 954 (ใช้เวลาเดินทาง 4.5 ชั่วโมง)
• 09.55 เดินทางถึง สนามบินเบรุต (Beirut international Airport) กรุงเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน
• เมืองเบรุต (Beirut) มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5,000 ปี หนึ่งในเมืองที่มีคนอาศัยอยู่มานานที่สุดในโลก เมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวภายใต้การปกครองมาหลายอาณาจักรมีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี ปรากฏตั้งแต่สมัยของชาวฟินิเซียน กรีก เปอร์เซีย โรมัน อาหรับ และ ออตโตมัน ต่อมาเมืองได้บอบช้ำจากเหตุการณ์สงครามกลางเมือง จนกระทั่งหลังสิ้นสุดสงคราม กรุงเบรุตได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทันสมัยเมื่อผสมผสานกับประวัติศาสตร์ของเมืองหลายพันปี ที่นี่จึงได้รับการจัดอันดับจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ ว่าเป็นสุดยอดสถานที่ที่ควรไปเยือนในปี 2009 ปัจจุบันเป็นทั้งเมืองหลวง ศูนย์กลางการบริหารวัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ของประเทศเลบานอน
• ชม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเบรุต (Beirut National Museum) ถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สำคัญที่สุดของประเทศเลบานอน มีทรัพย์สินที่มีค่าทางโบราณคดีของชาติจำนวนมาก
• ชม มัสยิดโมฮัมมัด แอล อมิน (Mohammad Al-Amin Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดที่สร้างให้คล้ายมัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี มีสถาปัตยกรรมแบบอนุสาวรีย์ของออตโตมาน มัสยิดแห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดของมัสยิดในเลบานอน
• เดินทางสู่ เขตเมืองใหม่เบรุต (Ras Beirut) ที่มีการสร้างเพื่อการธุรกิจพาณิชย์ เช่น ธนาคาร บริษัทฯ ห้างร้าน รวมถึงที่อยู่อาศัยราคาแพง
• เดินทางสู่ ย่านคอร์นิช (Corniche Beirut) ที่เป็นถนนริมชายฝั่งทะเลที่เป็นที่ตั้งของบรรดาร้านอาหารและที่พักของชนชั้นสูงของที่นี่ ถ่ายรูปกับ หินนกพิราบ (Pigeons’ Rock) เป็นหินที่ถูกธรรมชาติกัดกร่อนเป็นโพรงริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเบรุต
• ที่พัก โรงแรม Raouche Arjaan By Rotana 

เมืองใหม่เบรุต (Ras Beirut)

เมืองใหม่เบรุต (Ras Beirut)

หินนกพิราบ (Pigeons’ Rock)

วันที่ 3 : เบรุต (Beirut)

• ออกเดินทางจากกรุงเบรุตสู่ ยอดเขาฮาริสสา (Harissa) โดยการนั่งกระเช้าขึ้นไปสู่อนุสาวรีย์พระแม่มารีด้านบน รูปปั้นของพระแม่มารีทำมาจากทองสำริดที่ทาด้วยสีขาวมีชื่อเล่นที่ชาวเมืองตั้งให้ว่า “สุภาพสตรีแห่งเลบานอน” (Lady of Lebanon) นอกจากนี้จากจุดชมวิวบนยอดเขาท่านจะเห็นภาพความสวยงามของแผ่นดินเลบานอนได้อย่างชัดเจน
• เดินทางสู่เมือง เจโต (Jeito) ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเบรุต เพื่อไปยัง ถ้ำเจต้า (Jeita Grotto) ที่เป็นสถานที่เที่ยวชื่อดังของเลบานอน ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่มีหินงอกหินย้อยจำนวนมาก ถูกค้นพบเมื่อ ปี ค.ศ. 1836
• เดินทางสู่เมือง บิบลอส (Byblos) หนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดของโลกที่มีผู้อยู่อาศัยติดต่อกันมาประมาณ 7,000-8,000 ปี ตัวเมืองเก่าเคยเป็นท่าเรือมาตั้งแต่สมัยโบราณของชาวฟีนีเซียน (Phoenician) ชมเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ สิ่งก่อสร้างต่างๆที่สร้างโดยนักรบในยุคต่างๆ เช่น สมัยสงครามครูเสด สมัยภายใต้อิทธิพลออตโตมัน
• เดินทางกลับกรุงเบรุต
• ที่พัก โรงแรม Raouche Arjaan By Rotana 

ยอดเขาฮาริสสา (Harissa)

ยอดเขาฮาริสสา (Harissa) มุมทิวทัศน์เมืองเบื้องล่าง

ถ้ำไจต้า (Jeita Grotto)

ป้อมปราการที่สร้างตั้งแต่สมัยโบราณ

บิบลอส (Byblos) หนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดของโลก

บิบลอส (Byblos) ที่มีท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดของโลกโดยชาวฟีนีเซียน

วันที่ 4 : เบรุต (Beirut) – ดามัสกัส (Damascus)

• ออกเดินทางจากเบรุต มุ่งหน้าสู่เมือง บาลเบค (Baalbek) ซึ่งมีศาสนสถานของโรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเลบานอน นั่นคือ วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter) และ วิหารเทพเจ้าแบเกิส (Temple of Bacchus)
  • วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter) ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าจูปิเตอร์ ซึ่งเป็นเทพของเหล่าเทพเจ้าทั้งมวล วิหารนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมันโบราณ ตามตำนานวิหารนี้มีเสาที่มีความสูง 22 เมตรล้อมรอบถึง 54 ต้น ปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 6 ต้น
  • วิหารเทพเจ้าแบเกิส (Temple of Bacchus) ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า Bacchus เป็นหนึ่งในวิหารแบบโรมันโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ได้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด
• ชมเมือง อันจาร์ (Anjar) เมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใน หุบเขาเบคคา (Bekaa Valley) เมืองนี้ประชากรส่วนใหญ่เป็น ชาวอาร์เมเนียน (Armenian diaspora) ซึ่งทำให้เมืองนี้มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก ท่านจะได้ชม โบสถ์ Armenian Apostolic Church และ โบสถ์ Holy See of Cilicia ที่ถือว่าเป็นโบสถ์คริสต์สไตล์ออร์ทอดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเลบานอน
• จากนี้นำท่านเดินทางสู่ พรมแดนระหว่างประเทศ เลบานอน – ซีเรีย ทำเรื่องผ่านพรมแดนตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับพบทีมงานจากฝั่งประเทศซีเรียที่รอท่านอยู่ จากนี้ไปเราจะเข้าสู่ดินแดนประเทศซีเรีย ที่มีเรื่องราวมากมายทรงคุณค่าแห่งความทรงจำรอท่านอยู่
• เดินทางถึง กรุงดามัสกัส (Damascas) เมืองหลวงของซีเรีย
• ดามัสกัส (Damascus) เป็นเมืองหลวงของประเทศซีเรีย เป็นเมืองเก่าแก่ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ 2,457 ปีก่อนพุทธศักราช มีมัสยิดเก่าที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 1251 ถือว่าเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดามัสกัสเป็นเมืองสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาของภูมิภาคลิแวนต์ (Levant)
• ที่พัก โรงแรม Talisman Boutique 

วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter)

วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter)

หุบเขาเบคคา (Bekaa Valley)

วิหารเทพเจ้า แบเกิส (Temple of Bacchus)

วิหารเทพเจ้าแบเกิส (Temple of Bacchus)

วิหารเทพเจ้า แบเกิส (Temple of Bacchus)

วันที่ 5 : ดามัสกัส (Damacus)

• Mark Twain ผู้มาเยือนเมืองแห่งนี้ ได้เขียนไว้ในช่วง ค.ศ. 1860 ว่า “หวนคืนกลับสู่อดีตอันเลือนลางให้ไกลเท่าที่จะทำได้ ณ ที่แห่งนั้น จะมีดามัสกัสเสมอ” เขาพูดได้ถูกต้อง จากการขุดค้นเมืองทำให้พบหลักฐานว่า เมืองแห่งนี้เคยมีผู้อยู่อาศัยย้อนไปไกลถึง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล วันนี้จะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวกรุงดามัสกัส เมืองที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของโลกที่มีผู้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
• ชม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงดามัสกัส (National Museum of Damascus) ถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สำคัญที่สุดของประเทศซีเรีย มีทรัพย์สินที่มีค่าทางโบราณคดีของชาติจำนวนมาก
• เดินทางเข้าสู่ เขตเมืองโบราณของดามัสกัส (Old City) เมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแห่งนี้ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ทางเดินคดเคี้ยวที่ปกคลุมด้วยต้นองุ่นถูกคั่นเป็นช่วงๆ ด้วยประตูขนาดเล็กที่นำไปสู่ร้านค้าและบ้านเรือน เมืองโบราณแห่งนี้มีลานเปิดโล่งและตลาดต่างๆ
• ชม มัสยิดอุมัยยะฮ์ (Umayyad Mosque) มัสยิดเดิมสร้างขึ้นโดย ศาสดาจอห์นเดอะแบบติสต์ (John the Babtist) ซึ่งเป็นศาสดาหลังยุคพระเยซู ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 1 จนกระทั่ง ค.ศ.634 เมืองดามัสกัสถูกกองทัพมุสลิมเข้าปกครอง ศาสนสถานแห่งนี้ซึ่งมุสลิมถือว่าเป็นศาสนสถานของ ยะห์เฮีย (Yahya) ของอิสลามจึงถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด และกลายเป็นมัสยิดประจำราชวงศ์อุมัยยะฮ์ที่ใช้กรุงดามัสกัสเป็นเมืองหลวงจึงเรียกกันว่ามัสยิดอุมัยยะฮ์ (Umayyad Mosque) มัสยิดแห่งนี้จึงมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 4 ของโลกอิสลาม รองจากมัสยิดหะรอมในเมืองมักกะฮ์ มัสยิดอัลนะบะวีย์ เมืองมะดีนะฮ์ และมัสยิดอัลอักซอ เมืองเยรูซาเล็ม นอกจากนี้ มัสยิดอุมัยยะฮ์ (Umayyad Mosque) ไม่เหมือนมัสยิดที่อื่นๆบนโลก เพราะที่เป็นทั้งโบสถ์คริสต์ในที่เดียวกัน เป็นที่เก็บศีรษะของ จอห์นเดอะแบบติสต์ (John the Babtist)
• ชม สุสานซาลาดิน (Mausoleum of Saladin) สุลต่านซอลาฮุดดินหรือซาลาดิน คือยอดวีรบุรุษของโลกมุสลิมผู้ซึ่งสามารถพิชิตนครเยรูซาเล็มและสู้กับกองกำลังครูเสดในสงครามครั้งที่สาม
• เข้าชม ตลาดในเขตเมืองเก่า (Souk al-Hamidiyeh) ที่ซึ่งท่านจะได้พบกับวิถีชาวบ้านที่แท้จริง
• ชม คฤหาสน์ Azm Palace ที่ตั้งในเขตเมืองเก่าที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ว่าการเมืองดามัสกัสในช่วงของการปกครองภายใต้อาณาจักรออตโตมาน
• ชม โบสถ์ House of Saint Ananias ที่สร้างอยู่ใต้ดินเชื่อว่าที่นี่เคยเป็นที่ๆนักบุญ Ananias ได้ทำพิธีศีลจุ่มให้นักบุญ Saul
• ที่พัก โรงแรม Talisman Boutique

วันที่ 6 : ดามัสกัส (Damacus) – บอสรา (Bosra)

• เดินทางสู่เมือง บอสรา (Bosra) (ระยะทาง 137 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง)
• บอสรา (Bosra) เมืองโบราณของอาณาจักรโรมันโบราณ มีสถานที่น่าสนใจดังนี้
• โรงละครโรมัน (Roman Theatre at Bosra) ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงละครโรมันที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโรมันโบราณ สามารถจุคนได้ถึง 15,000 คน ปัจจุบันโรงละครได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในภาพที่ถือว่าสมบูรณ์
• เดินทางกลับกรุงดามัสกัส (ระยะทาง 137 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง)
• ที่พัก โรงแรม Talisman Boutique 

วันที่ 7 : ดามัสกัส (Damacus) – ฮอม (Homs)

• เดินทางสู่ เมืองเซดนายาห์ (Sednaya) ที่ตั้งทางตอนเหนือของกรุงดามัสกัสออกมาประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ตั้งในหุบเขาสูงประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ชม โบสถ์ The Convent of Our Lady of Saidnaya ที่เป็นหนึ่งในที่แสวงบุญที่สำคัญของชาวคริสต์ สร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 เมืองนี้ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาร์เมเนียน
• เดินทางต่อสู่ เมืองมาลัวลา (Maaloula) เมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขา มีภูมิทัศน์ที่แปลกตาและสวยงามอย่างยิ่ง เมืองนี้มีความพิเศษที่สุดตรงที่เป็นสถานที่เดียวในโลกที่มีการใช้ ภาษา Aramaic ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาโบราณที่ใช้โดยชาวคริสต์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ คำว่า Maaloula ในภาษา Aramiac มีความหมายว่า “ทางเข้า” บ้านเรือนของคนที่นี่สร้างอยู่บนหน้าผาหรือก้อนหินบ้างหลังห้อยลงอยู่ระหว่างกลางช่องว่างบนอากาศ มีความพิสดารอย่างมาก เราจะแวะชม โบสถ์ Saint Sarkis Monastic Complex หนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของซีเรียที่ยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน และชม โบสถ์ Convent of Saint Thecla
• เดินทางสู่ ปราสาทนักรบครูเสด Krak des Chevaliers หนึ่งในปราสาทของนักรบครูเสดที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ ท่านจะได้ชมส่วนต่างๆภายในปราสาทที่ซึ่งสามารถจินตนาการภาพในอดีตได้เป็นอย่างดี ตัวปราสาทตั้งอยู่บนภูเขาหันหน้าไปทางชายทะเลซึ่งเป็นชัยภูมิที่ดีในการป้องกันภัยจากข้าศึก
• หลังจากนั้นเดินทางเข้า เมืองฮอม (Homs)
• ที่พัก โรงแรม New Bassman 

วันที่ 8 : พัลไมรา (Palmyra) – ฮามา (Hama)

• เดินทางสู่ เมืองโบราณพัลไมรา (Palmyra) โดยมีระยะทาง 164 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
• เมืองโบราณพัลไมรา (Palmyra) ในอดีตนครพัลไมรามีความมั่งคั่งจากคาราวานการค้า ชาวพัลไมราเป็นพ่อค้าขึ้นชื่อสถาปนาอาณานิคมตามเส้นทางสายไหมและดำเนินการทั่วจักรวรรดิโรมัน ความมั่งคั่งของพัลไมราทำให้สามารถสร้างโครงการมหึมาต่าง ๆ ได้ เช่น แนวเสาหินใหญ่ (Great Colonnade) วิหารเบล (Temple of Bel) วัฒนธรรมของแพลไมราซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกรีก-โรมัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 3 พัลไมราเป็นศูนย์กลางภูมิภาครุ่งเรืองที่ถึงจุดสูงสุดของอำนาจในคริสต์ทศวรรษ 260 เมื่อ พระเจ้าโอเดนาธัส (Odaenathus) ทรงพิชิต จักรพรรดิซาปูร์ที่ 1 (Shapur I) แห่งจักรวรรดิเปอร์เซีย ก่อนที่หลังจากนั้นจะถูกอาณาจักรโรมันตีเมืองแตกก่อนจะตกมาถึงมือของชาวอาหรับในที่สุด
• ชมสถานที่สำคัญที่เป็นซากปรักหักพังที่สำคัญดังนี้ Temple of Bel ruins, Arch of Triumph, Great Colonnade, Theater, Agora
• เดินทางต่อไป เมืองฮามา (Hama) โดยมีระยะทาง 195 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง
• ที่พัก โรงแรม Orient House 

วันที่ 9 : ฮามา (Hama) – อะเลปโป (Aleppo)

• เมืองฮามา (Hama) เมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Orontes เป็นเมืองที่อยู่มาตั้งสมัยคัมภีร์ไบเบิ้ลในยุคของกษัตริย์ยิวนามว่าเดวิดและโซโลมอน ในอดีตเป็นศูนย์กลางความสำคัญด้านกสิกรรมและเศรษฐกิจที่ซึ่งมีการใช้กังหันน้ำขนาดใหญ่ (Norias) ในการผันน้ำจากแม่น้ำ Orontes เข้าสู่ระบบการเกษตร ซึ่งมีการสร้างกังหันน้ำจำนวนมากและหลงเหลือมาถึงปัจจุบันทั้งหมด 10 กังหันที่ยังสามารถชมได้ หลังจากที่ชาวอาหรับสามารถยึดเมืองฮามาได้ ทกสิ่งทุกอย่างก็ได้รับการปรับเป็นศาสนาสถานของอิสลามแต่ยังคงมีชาวคริสต์อาศัยมาจนถึงปัจจุบัน
• เราจะแวะชมสถานที่สำคัญในเมืองฮามา เป็นระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นเดินทางสู่ เมืองอะเลปโป (Aleppo) (ระยะทาง 136 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)
•  เมืองอะเลปโป (Aleppo) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศซีเรีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการ 2,132,100 คน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเลแวนต์ ร่วมหลายศตวรรษ เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอาณาจักรออตโตมัน รองจากอิสตันบูลและไคโร
• ที่พัก โรงแรม Riga Palace Lux 

วันที่ 10 : อะเลปโป (Aleppo) – ดามัสกัส (Damascus)

• เดินทางท่องเที่ยวในเมือง อะเลปโป (Aleppo) หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่มีคนอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่ช่วงต้นของ 6 สหัสวรรษก่อนคริสต์ศักราช เป็นเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเพราะตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับเมโสโปเตเมีย เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความช่ำชองในการค้าและทหารจากข้อมูลจารึกอักษรหินคูนิฟอร์มในเมโสโปเตเมีย เป็นจุดสำคัญของเส้นทางสายไหมสมัยโบราณก่อนจะเข้าภูมิภาคยุโรป แต่ภายหลังการเปิดคลองสุเอซทำให้การค้าทางทะเลเข้ามามีบทบาทแทน
• ชม ป้อมปราการอะเลปโป (The Citadel of Aleppo) ที่ซึ่งเป็นพื้นที่ๆมีคนอาศัยอยู่มายาวนานที่สุดของเมือง เป็นเขตเมืองเก่าและถือว่าเป็นป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในโลก
• ชม เขตตลาดในพื้นที่เมืองเก่าภายในกำแพงป้อมปราการ พร้อมชมเขตที่อยู่อาศัยของชาวคริสต์ที่เรียกว่า Al Jdeideh quarter
• เดินทางกลับสู่กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรีย (ระยะทาง 361 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง)
• ที่พัก โรงแรม Talisman Boutique 

วันที่ 11 : ดามัสกัส (Damascus) – เบรุต (Beirut) – ดูไบ (Dubai)

• ออกเดินทางกลับกรุงเบรุต (Beirut) ประเทศเลบานอน
• เดินทางสู่ พรมแดนระหว่างประเทศ ซีเรีย – เลบานอน ทำเรื่องผ่านพรมแดนตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับพบทีมงานจากฝั่งประเทศเลบานอนที่รอท่านอยู่
• บ่าย เดินทางกลับมาถึงกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน
• ในกรณีถ้ามีเวลาเหลือ จะนำท่านไปสู่ ตลาดกลางกรุงเบรุต (Beirut Souk) เพื่อให้ท่านได้มีเวลาในการเลือกซื้อสินค้าของฝากท้องถิ่นกลับบ้าน
• 17.00 น. เดินทางสู่ สนามบินนานาชาติเบรุต (Beirut International airport) เพื่อเตรียมตัวกลับสู่กรุงเทพ
• 19.25 น. ออกเดินทางสู่ดูไบ ด้วยสายการบิน Emirates EK 954 (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง)

วันที่ 12 : ดูไบ (Dubai) – กรุงเทพ

• 01.15 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ พักเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง
• 03.05 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพ ด้วยสายการบิน Emirates EK 384 (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง)
• 12.05 น. เดินทางถึงกรุงเทพ