3 เกาะ แห่งมหาสมุทรอินเดีย มาดากัสการ์ เรอูนียง มอริเชียส
ชื่อเกาะที่อาจฟังดูไม่คุ้นหูทั้ง 3 เกาะนี้ มีความหลากหลาย จนเสมือนว่าถูกออกแบบมาในลักษณะที่แตกต่างกันกลายเป็นส่วนผสมลงตัวในดินแดนที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติ
คำเตือน!!! Content นี้จะกระตุ้นให้เกิดความอยากขั้นรุนแรง
ผู้ที่จิตใจอ่อนไหว ชอบกิจกรรมทางน้ำ รักการผจญภัย ระวังเลือดกำเดาจะไหลไม่รู้ตัว!
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นจากความอยาก และต้องการสนอง Need ซึ่งเป็นความกระหาย อยากไปเที่ยวเกาะล้วนๆ
หากการเที่ยวเกาะแบบไม่ปกติ ไม่ซ้ำแบบเดิมๆจะเป็นไปได้มั้ย เป้าหมาย คือ ตามหาต้นเบาบับ และราชาคิงจูเลียตในภาพยนตร์เรื่อง “มาดากัสการ์” หรือ “เจ้าลีเมอร์” นอกจากนั้นเรายังพบว่า มีเกาะที่น่าสนใจอยู่ใกล้ๆกันนั้นด้วย ทริปนี้จึงการเป็นว่า “เอาวะ ไปทีเดียว เอาให้ครบไปเลย” เกาะอีกสองเกาะที่ว่า คือ “เกาะมอริเชียส (Maurtitus)” และ “เกาะเรอูนียง (Reunion)” เรียกได้ว่าเป็นทริปเกาะสวาทหาดสวรรค์ก็ว่าได้
3 เกาะ แห่งมหาสมุทรอินเดีย มาดากัสการ์ เรอูนียง มอริเชียส
ชื่อเกาะที่อาจฟังดูไม่คุ้นหูทั้ง 3 เกาะนี้ ตั้งอยู่ใกล้ๆกันในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความหลากหลาย จนเสมือนว่าถูกออกแบบมาในลักษณะที่แตกต่างกันกลายเป็นส่วนผสมลงตัวในดินแดนที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติ
เราจึงเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเกาะเหล่านี้กันมากขึ้น
สามเกาะนี้ เป็นเหมือนกับสามทหารเสือแห่งภาคพื้นมหาสมุทร เป็นจุดเชื่อมต่อของโลกสามทวีปคือ มาดากัสการ์ที่ยังคงความเป็นแอฟริกา ในขณะที่เรอูนียงกลับกลายเป็นอารมณ์ของฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนมหาสมุทรที่มีชื่อว่าอินเดีย เห็นไหมครับ ความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์แค่เริ่มต้นก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปเยือนแล้วครับ
ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปการเดินทางที่จะเกิดขึ้นกับบริษัททัวร์ Patourlogy
มาดากัสการ์(Madagascar)
เริ่มที่เกาะมาดากัสการ์ ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยมาดากัสการ์ (Democratic Republic of Madagascar) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก รองจาก นิวกินี (New Guinea) บอร์เนียว (Borneo) และกรีนแลนด์ (Greenland) พื้นที่จากเหนือถึงใต้ยาว 1,600 กิโลเมตร เห็นเขาเป็นเกาะแบบนี้ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย 70,000 กว่าตารางกิโลเมตรเชียวล่ะ
เกาะมาดากัสการ์(Madagascar) เกาะนี้ขอตั้งชื่อว่า เป็นเกาะที่ลุย สมบุกสมบันมากที่สุด ในบรรดา 3 เกาะ ทั้งด้วยธรรมชาติของตัวเกาะเอง หรือว่าจะเป็นกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้ หลายคนรู้จักเกาะแห่งนี้ในนาม “เกาะแดงใหญ่” เนื่องจากสีของดินที่นี่เป็นสีแดง บนเกาะมีพืชและสัตว์เฉพาะท้องถิ่นมากมาย อย่าง “ลีเมอร์” ทำให้พื้นที่บางแห่งของเกาะมาดากัสการ์ถูกกำหนดเป็นเขตสงวนคุ้มครอง
เกาะมาดากัสการ์แตกต่างจากเกาะอื่นๆในมหาสมุทรอินเดียตรงที่ต้นกำเนิดของเกาะนี้คือการแยกตัวออกมาจากทวีปแอฟริกาแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่เกาะเล็กเกาะน้อยอื่นๆนั้นคือเกาะที่พึ่งเกิดจากภูเขาไฟในระยะเวลาที่ไม่นาน ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้มาดากัสการ์เป็นเกาะที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนในโลก ทุกสิ่งที่อยู่ในมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดไม่สามารถพบได้ที่อื่นของโลกอีก
จากกรุงเทพไปยังกรุงอันตานานาริโว (Antananarivo) เมืองหลวงของมาดากัสการ์ ใช้ระยะเวลา 14 ชั่วโมงกว่าๆก็จะถึงประเทศมาดากัสการ์
กรุงอันตานานาริโว (Antananarivo)
กรุงอันตานานาริโว เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส ทำให้มีคนเชื้อสายฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน กลายเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม ใช้ ภาษามาลากาซี (Malagasy) และฝรั่งเศส เป็นภาษาราชการ
กรุงอันตานานาริโว ตั้งอยู่บนเนินเขา ความสูงเหนือระดับน้ำทะล 1,300 – 1,400 เมตร ทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีสถานที่สำคัญอย่างพระราชวังราชินี (Rova) หรือโบสถ์ Andohalo ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมาดากัสการ์
จากกรุงอันตานานาริโวไปทางทิศตะวันออกมุ่งหน้าไปยัง เมืองอันสิราเบ (Antsirabe) เมืองใหญ่เป็นอันดับสองของมาดากัสก้า รอบล้อมด้วย 3 ทะเลสาป ได้แก่ Tritriva, Andrnomomafana และ Andraikiba เนื่องด้วยตั้งอยู่ที่ความสูงกว่า 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมืองอันสิราเบจีงได้ชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ที่เมืองอันสิราเบเราจะพบความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล อย่างสถานีรถไฟ โบสถ์ รวมถึงอาคารบ้านเรือนหลายๆหลัง ซึ่งเป็นผลพวงการตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสยาวนาน ถึง 64 ปี
อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นสีสันเมื่อมา เมืองอันสิราเบ(Antsirabe) คือ การนั่งรถลากเที่ยวชมเมือง คล้ายๆสามล้อบ้านเรา หรือรถสามล้อที่มะละกา ให้บรรยากาศการได้สัมผัสวิถีชีวิตอย่างใกล้ชิด
ออกจากเมืองอันสิราเบไปยัง อุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ (Andasibe-Mantadia National Park) อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2007 ภายในมีสัตว์เฉพาะถิ่นมากมายไม่ว่าจะเป็น กิ้งก่าคามิลเลี่ยนสีสันสวยงาม พลพรรคของเหล่าราชาคิงจูเลียต หรือ เจ้าลีเมอร์กว่า 11 สายพันธุ์ รวมถึง ลีเมอร์สายพันธุ์หายากอย่าง สายพันธุ์อินดรี-อินดรี(Indri Indri) ลีเมอร์พันธุ์ใหญ่ที่สุดอาศัยอยู่ ขนาดโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 150 เซนติเมตร ลำตัวสีขาวดำ และมีหูเป็นพู่กลมขนาดใหญ่
เกาะลีเมอร์ (Lemurs Island) ศูนย์อนุรักษ์ลีเมอร์หลายสายพันธุ์ ภายในจะมีการแบ่งแยกเป็นเกาะเล็กๆตามลักษณะทางสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของแต่ละสายพันธุ์ โดยเฉพาะ ลีเมอร์หางวงแหวน (Ring tailed) ที่มีหางเป็นวงแหวนสีขาวสลับสีดำ ราชาคิงจูเลียต พระเอกของเรา
เจ้าตัวนี้เดินมองเรา เราก็มองมันกลับ Mission complete (เจอลีเมอร์แล้ว กลับบ้านได้ ผ่ามๆ ไม่ใช่ กลับมาก่อน) เดินทางสู่เมืองโมรอนดาวา(Morondava) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเล เต็มไปด้วยทรัพยากรทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ชายฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศโมซัมบิก ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง มีหาดโมรอนดาวา (Morondava Beach) เป็นจุดไฮไลท์
หาดโมรอนดาวา (Morondava Beach)
แนวชายหาดทอดยาวสีขาว เม็ดทรายละเอียด เกลียวคลื่นฟองเบียร์ กับสีท้องฟ้าในวันที่โปร่งใส บริเวณชายหาดนี่เอง เราจะสามารถพบ Sixpack บ้างก็ one pack ของเหล่านักท่องเที่ยวชายหญิง เพิ่มบรรยากาศของชายหาดดูคึกครื้นขึ้นมาทันที
ใกล้กับชายหาดโมรอนดาวามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งแต่เราไม่ได้ไปนะ คือ เกาะเบทาฮือนา (Betahina) เป็นเกาะเล็กๆที่เราจะสามารถเข้าไปชมวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างใกล้ชิด พูดคุยกับชาวบ้าน ซึ่งได้ยินมาว่า ชาวบ้านที่นี่น่ารักเป็นกันเองมาก
วันรุ่งขึ้นสวมบทบาท ‘Indiana Jones’ ขึ้นรถ 4WD พร้อมผจญภัยไปในระบบนิเวศน์ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ดินแดนป่าแล้งคิรินดี (Kirindy Dry Forest) สถานที่ที่มีต้นไม้และหญ้าแห้งขึ้นปกคลุมจนได้สมญานามว่า “ป่าแล้ง” เราสามารถมองเห็น ‘Fosa’ สัตว์นักล่าประจำถิ่น ลักษณะคล้ายเสือแต่ตัวเล็กและหางยาวกว่า และลีเมอร์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะพันธุ์จิ๋วที่มีขนาดเล็กเพียง4-5 นิ้ว เท่านั้น
รถขับผ่านทุ่งหญ้าแห้งแล้งมากมายมาถึง Avenue of the Baobabs…Rare Item ของเกาะมาดากัสการ์ แนวต้นเบาบับสองข้างทางที่ทำให้เราสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ยิ่งใกล้กัน ยิ่ง….เตี้ย (รู้สึกตัวเองเล็กนิดเดียว)
ต้นเบาบับ (Baobabs) เป็นต้นไม้ที่อายุยืนและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับสมญานามว่า ‘Tree of Life’ หรือ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ บางต้นนั้นมีความสูงกว่า 30 เมตร อายุกว่า 800 ปี
สำหรับการเก็บภาพให้พีคที่สุดของสถานที่แห่งนี้ เห็นทีจะเป็นช่วงเวลาพระอาทิตย์บอกลา แนวแสงอาทิตย์อุ่นๆของพระอาทิตย์ยามอัศดงสาดส่องเล็ดลอดผ่านแนวต้นเบาบับแห่งนี้ นับเป็นภาพที่อบอวลด้วยความอบอุ่นเสียจริง
ระหว่างทางกลับจากเมืองโมรอนดาวาไปเมืองอันสิราเบ ระยะทางประมาณ 500 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ผ่านแนวทิวเขาสลับซับซ้อนสองข้างทาง พอเริ่มเมาโค้งก็แวะพักระหว่างทาง จากเมืองอันสิราเบกลับสู่เมืองหลวงอันตานานาริโว ระยะทาง 170 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ แวะเที่ยวสถานที่แลนด์มารกสำคัญอย่าง พระราชวังราชินี(Queen Palace) ทะเลสาบรูปหัวใจ (Anosy) แวะช้อปปิ้งที่ตลาด ลา ดีค(La Digue)
ถ้าคุณเคยไปป่าหินที่คุนหมิง ประเทศจีนมาแล้วล่ะก็ เกาะมาดากัสการ์แห่งนี้เอง ก็มีสถานที่คล้ายๆกัน ชื่อว่า ‘Tsingy de Bemaraha’ ป่าหินปูนทรงยอดแหลม ที่ให้บรรยากาศเหมือนเราหลุดไปอยู่ยังโลกอีกใบ ภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาขนาดใหญ่ล้อมรอบ แต่ที่น่าสนใจคือ ภายใต้ซอกผายอดแหลมอันตรายเหล่านี้มักพบพรรณไม้สวยงามขึ้นอยู่มากมาย อีกทั้งยังเป็นที่อาศัย หรือสถานที่หลบภัยของสัตว์บางชนิดอีกด้วย
นอกจากนั้น เกาะมาดากัสการ์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Royal Hill of Ambohimanga, Ile Sainte Marie และ Isalo National Park
Royal Hill of Ambohimanga สถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมาดากัสการ์ เดิมเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญและอารยธรรมของชาวมาลากาซี่สมัยที่มีกษัตริย์ปกครอง ปัจจุบันเป็นป้อมปราการที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
อุทยานแห่งชาติอิซาโล่ (Isalo National Park) ที่มีลักษณะเป็นภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ แห้งแล้ง มีต้นไม้ตระกูลปาล์มขึ้นสลับกับต้นหญ้า ซึ่งจะเห็นเป็นริ้วของทรายสีอ่อนเข้มสลับกันไป นับเป็นความสวยงามของธรรมชาติที่แท้จริง
ยิ่งใกล้เข้าไปเราก็จะยิ่งมองเห็นความยิ่งใหญ่ของภูเขาหินทราย รวมถึงมองเห็นริ้วรอยและสีชัดเจนขึ้นด้วย
และอีกอุทยานที่ไม่พูดถึงไม่ได้ หรือไม่มาก็คงไม่ได้ Andringitra National park เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเทือกเขาขนาดใหญ่ มีหินผาลักษณะหยาบขรุขระ เป็นที่นิยมของผู้ที่ชอบปีนผา และแทรกกิ้งตั้งแคมป์ มีสัตว์ต่างๆอาศัยอยู่ตามธรรมชาติมากมาย เช่น ลีเมอร์ 14 สายพันธุ์ สัตว์เลื้อยคลาน นกชนิดต่างๆ
เกาะมอริเชียส(Mauritius)
เรามีเวลาที่เกาะมอริเชียสประมาณเกือบๆ 2 วัน เกาะมอริเชียส (Mauritius) เกาะเล็กๆใกล้เกาะมาดากัสการ์ ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตของเราประมาณ 3 เท่า หรือ 1,860 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสลับภูเขา รูปร่างของภูเขาที่นี่ค่อนข้างแปลกตา น่าขบขัน เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ ทั้งนี้ เพราะเกาะมอริเชียสเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟใต้น้ำ ส่งผลให้มีภูมิประเทศที่มีดินและแร่ธาตุที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก เกาะแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มของต้นไม้ ล้อมรอบด้วยชาดหาด เกาะแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักเที่ยวฝั่งยุโรป มักจะมาพักผ่อนหย่อนใจกัน
สำหรับสถานที่ที่แรกที่จะพาไปเลยก็คือ ‘Seven Colored Earths’
Seven Colored Earths หรือ ‘เนินทรายเจ็ดสี’ สถานที่ชวนจินตนาการ ให้โล้ดแล่นไปกับสีสันของเหล่าเนินทรายสีรุ้ง ส้ม แดง ชมพู น้ำตาล ม่วง ที่เกิดจากการกร่อนตัวของหินลาวา ซึ่งเป็นหินบะซอลล์ กลายเป็นโคลนและเปลี่ยนมาเป็นทรายในที่สุด นับเป็นสิ่งมหัศรรย์ทางธรรมชาติที่สวยงาม และหาชมได้เพียงไม่กี่แห่งบนโลก
ขับรถต่อมายังปากปล่องภูเขาไฟที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งเกาะมอริเชียส ปากปล่องภูเขาไฟ ‘Trou Aux Cerf’ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดำไปแล้ว ลักษณะคล้ายบ่อน้ำขนาดใหญ่ ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้
แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่า “ทำลายเพื่อสร้าง” ถึงจุดๆหนึ่งธรรมชาติมักมีกลไกในการจัดการตัวเอง เหมือนกับการ ‘Set Zero’ ของธรรมชาติ เหมือนกับการระเบิดของภูเขาไฟที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่หลังจากลาวาเย็นตัวลงกลับกลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์สูง เพื่อรองรับการก่อกำเนิดของชีวิตใหม่ๆ และหากได้มองภาพจากมุมบนเราก็จะเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของภูเขาไฟแห่งนี้
ไม่ไกลจากปล่องภูเขาไฟ มีจุดชมวิว ‘Black River Gorges’ เป็นจุดชมวิวที่สามารถชมทัศนียภาพของแนวภูเขาน้อยใหญ่สุดลูกหูลูกตา
น้ำตกซามาเรล (Chamarel Falls) น้ำตกที่มีชื่อเสียงที่และสวยงามที่สุดของเกาะมอริเชียส น้ำตกซามาเรลมีความสูงกว่า 100 เมตร เป็นน้ำตกที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวที่โอบล้อมสวยงาม รับรองว่าสายท่องเที่ยวธรรมชาติต้องประทับใจอย่างแน่นอน น้ำในน้ำตกชามาเรลมาจากแม่น้ำเซนต์เดนิส (St.Denis) นอกจากการชมภาพน้ำตกบริเวณด้านบนแล้วยังสามารถลงไปว่ายน้ำเล่นในแอ่งน้ำตื้นด้านล่างน้ำตกได้อีกด้วย
วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นใจ ให้เหมาะแก่การทำกิจกรรมทางน้ำ จึงเริ่มต้นวันด้วย การลงเรือท้องกระจก ดำน้ำดูปะการัง ที่อ่าว Bel Ombre ที่นี่มีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์มาก เมื่อได้ลองลงไปดำผุดดำว่ายในทะเลให้ความรู้สึกเหมือนปลาตัวโตที่กำลังแหวกว่ายท่ามกลางเพื่อนๆตัวน้อย โดยมีบ้านเป็นปะการังและสาหร่ายทะเล
ใกล้กันนั้นมีจุดชมวิว ‘Gris Gris’ เป็นจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแนวชายหาด ท้องทะเล บนหน้าผาหิน อารมณ์ต่อสายตรงดูภาพทิวทัศน์ 3 มิติ ที่จะเห็นแนวคลื่นกระทบฝั่ง กลุ่มก้อนของฟองที่เกิดจากแรงปะทะ เกิดเป็นความสวยงามตามธรรมชาติ
นอกจากนั้น มอริเชียส เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สามารถชมเต่ายักษ์ที่ดีที่สุดในโลก ณ La Vanille Nature Park ภายในมีเต่ามากมายหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ ‘Aldabra Giant Tottoise’ ซึ่งเป็นเต่าที่มีขนาดใหญ่ อายุยืนกว่า 100 ปี ตัวผู้มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลเมตร ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย
ตัวจริงมันใหญ่มาก เห็นมือเทียบกับหัวมั้ย? มันใหญ่มากกกกกกกก
เย็นวันนั้นเองเราบินจากเกาะมอริเชียสไปเกาะรียูเนี่ยนใช้เวลาประมาณ 45 นาที
เกาะเรอูนียง (Reunion)
เกาะเรอูนียง (Reunion) เองเป็นเกาะเล็กๆระยะทางรอบเกาะประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร สามารถขับรถวนรอบเกาะได้ ถนนดีมากกกกก เกาะแห่งนี้อยู่ในความดูแลของประเทศฝรั่งเศส หากต้องการมาทั้งเที่ยวเกาะนี้ จำเป็นต้องทำวีซ่าเชงเก้นที่ระบุว่ามาเกาะรียูเนียนด้วย ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้วัฒนธรรมบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ มีความผสมผสานระหว่างหลายๆสัญชาติทั้งฝรั่งเศส แอฟริกา รวมถึง จีน ค่าครองชีพบนเกาะนี้ถือได้ว่าแพงที่สุดในบรรดาทั้งสามเกาะ เล่นเอากระเป๋าแบนกันเลย
เมืองแซงต์ เดอนีส์(Saint Denis) เมืองหลวงของเกาะรียูเนียน อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยสำนักงานทั้งรัฐบาล และเอกชน สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมายังเมืองหลวงแห่งนี้ คือ วิหารแซง เดอนี (Basilica of St Denis) วิหารที่ถูกสร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมโกธิค มีความหรูหรา สวยงาม
ส่วนใครจะช้อปก็แนะนำให้ไปที่ ‘ตลาด Chaudron’ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเกาะรียูเนียน เต็มไปด้วยสินค้าพื้นเมืองมากมาย ส่วนอาหารท้องถิ่นของที่นี่ คือ ‘กราแต็ง ชูชู’ (Gratin Chouchou) เป็นฟักแม้วอบกับเนย รสชาติ…ลองไปชิมกันดู ผลไม้อบแห้งหรือชา ก็เป็นสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไป
หากสาวกวานิลา ก็ไม่ควรที่จะพลาดไปเยือนไร่วนิลา ‘Vanilla Plantation in Saint Andre’ ไร่วนิลาที่เก่าแก่ที่สุด มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตัวไร่ตั้งอยู่บนยอดเขา ล้อมรอบด้วยแนวภูเขา ซึ่งจากมุมนั้นสามารถมองลงมายังวิวเมืองได้ ทั้งนี้ วานิลา ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของเกาะรียูเนียนอีกด้วย
นอกจากนั้นก็มีสถานที่ที่น่าสนใจอย่าง ‘Le Gouffre’ แนวช่องหินริมหาดที่เมื่อน้ำทะเลซัดเข้ามาก็จะกระแทกไปมาจนเกิดเป็นฟองละเอียดฟูฟ่องเหมือนกับน้ำอัดลมที่เขย่ามาตลอดทางและถูกเปิดออก เกิดเป็นฟองกระจัดกระจายทั่วบริเวณเมื่อคลื่นกระแทกเข้าฝั่ง เสียงกระแทกของคลื่นดังก้องไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ ไม่ควรเข้าใกล้เกินไป เพื่อความปลอดภัย
ระหว่างทางจะผ่านแนวเขาสลับซับซ้อน เรียกว่า แปลน เด ซาบล์ส (Plaine des Sables)
ปล. ชื่อเกาะนี้ ถ้าอ่านแบบอังกฤษ จะคือ รียูเนียน แต่ถ้าอ่านแบบฝรั่งเศสจะเรียกว่า เรอูนียง นะครับ
สถานที่พีคสุดของเกาะรียูเนียน เราขอยกให้เป็น ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise) ภูเขาไฟที่สูงกว่า 3,700 เมตร เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดในเกาะ
ซึ่งในปัจจุบันภูเขาไฟยังคงปะทุอยู่เนืองๆ ยิ่งใกล้ปากปล่องภูเขาไฟเราก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความร้อน ควันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ คล้ายกับธรรมชาติที่ยังมีชีวิต เหล่าลาวายังคงไหลลงทะเลอย่างต่อเนื่องกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกว่า Lava Tunnel ครั้งหนึ่งเราไปเดินลอดลาวากันเว้ย…ลักษณะเป็นโพรงลาวาขนาดใหญ่ที่แห้งสนิท ประสบการณ์ความตื่นเต้นที่สามารถมาสัมผัสได้ ณ สถานที่แห่งนี้
สำหรับคอกาแฟ หากต้องการพิสูจน์รสชาติของกาแฟของชาวรียูเนียนแบบดั้งเดิม หรือ ‘กาแฟ Bourbon Pointu’ ที่มีเรื่องราวมากว่า 300 ปี กาแฟที่มีชื่อเสียงที่สุดจนได้ชื่อว่ามีกลิ่นหอม และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญมากมาย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากกัน แต่แนะนำให้ไปลิ้มลองกัน
บนเกาะรียูเนียนยังมีเมือง เฮลล์เบิร์ก (Hell Bourg) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ ภูเขาไฟเซอร์ก เดอ ซาลาซี (Cirque de Salazie) เจ้ายอดแหลมๆตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องเป็นบริเวณพื้นที่มรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ในอดีตเมืองนี้ ได้ชื่อว่า เป็นเมืองแห่งสปา โดยบริเวณนี้เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และมีทัศนียภาพที่สวยงามของน้ำตกหลายสาย ไหลลงมาระหว่างแนวช่องเขาซึ่งรู้จักกันในนาม ‘Bride’s Veil’ เหมือนผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ถือน้ำตกที่สวยที่สุดแห่งเกาะรียูเนียน
ตลอดสัปดาห์กว่าๆกับการเดินทางไปยัง 3 เกาะ แห่งมหาสมุทรอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น เกาะมาดากัสการ์ เกาะมอริเชียส และเกาะเรอูนียง หลายเรื่องราวเกิดขึ้นจากการเดินทางทริปนี้ มนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละเกาะ ที่สร้างความหลงใหลก้อนใหญ่เกิดขึ้นภายในใจ กลายเป็นเรื่องราวผ่านตัวอักษรที่นำมาฝากทุกๆท่าน
หากเรื่องราวของเราสร้างความกระหายการเดินทางให้ผู้อ่าน เราทำสำเร็จแล้ว!!! ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายให้เราไปค้นหา ข้อเท็จจริงที่รอการพิสูจน์
ถ้าท่านสนใจการเดินทางรูปแบบนี้ ทางบริษัท Patourlogy เรามีทริปการเดินทางไปยัง หมู่เกาะแห่งมหาสมุทรอินเดียนี้
ติดตามแผนการเดินทางประจำปี พ.ศ.2565 เป็นต้นไปได้ที่นี่
ทริปแห่งความทรงจำ ล้ำค่าไปด้วยประวัติศาสตร์ขนานแท้ รอคุณมาค้นพบด้วยตัวคุณเอง
หรือถ้าหากท่านต้องการให้เราจัดกลุ่มส่วนตัวสำหรับครอบครัวของท่าน เราก็ยินดีเช่นกันเพื่อจะทำให้การเดินทางข้ามทวีปครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดีแบบไม่มีวันลืม
- สอบถามเพิ่มเติม โทร : 096 640 4534
- แอด Line : https://line.me/R/ti/p/%40patourlogy