ทะเลทรายคาลาฮารี หนึ่งในทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่กว้างใหญ่ในทวีปแอฟริกาใต้ ครอบคลุมอาณาเขตของประเทศบอตสวานา นามิเบีย และแอฟริกาใต้ ด้วยความแห้งแล้งที่รุนแรงและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุดต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้
มารู้จักทะเลทรายคาลาฮารี (Kalahari Desert)
ทะเลทรายคาลาฮารี มีขนาดใหญ่ประมาณ 900,000 ตารางกิโลเมตร ทำให้เป็นทะเลทรายที่ใหญ่อันดับ 6 ของโลก และเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ ชื่อ “คาลาฮารี” มาจากคำในภาษาท้องถิ่นที่แปลว่า “ที่แห้งแล้งที่ไม่มีน้ำ” ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะพื้นฐานของพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน คาลาฮารีมีภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงที่ค่อนข้างเรียบ มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พื้นผิวประกอบด้วยทรายสีแดงและดินเหนียวที่มีธาตุเหล็กออกไซด์ ทำให้มีสีแดงเข้มที่เป็นเอกลักษณ์ ทิวทัศน์ส่วนใหญ่เป็นที่ราบกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สลับด้วยเนินทรายเตี้ยๆ และแอ่งน้ำแห้ง
แม้จะมีชื่อเรียกว่า “ทะเลทราย” แต่คาลาฮารีมีลักษณะแตกต่างจากทะเลทรายแบบดั้งเดิมอย่างซาฮารา เพราะยังคงมีพืชพรรณปกคลุมอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะหญ้าและพุ่มไม้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแห้งแล้งได้ นักภูมิศาสตร์บางคนจึงจัดประเภทคาลาฮารีเป็น “กึ่งทะเลทราย” หรือ “ซาวานนาแห้งแล้ง” มากกว่าทะเลทรายที่แท้จริง ในทางตอนเหนือของคาลาฮารีมี ลุ่มน้ำโอคาวังโก (Okavango Delta) ที่ตั้งอยู่ เเละ ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่โดดเด่น ที่เกิดขึ้นกลางทะเลทรายแห้งแล้ง
อากาศร้อนแล้งในทะเลทรายคาลาฮารี
อากาศในทะเลทรายคาลาฮารีมีลักษณะเป็นแบบกึ่งแห้งแล้งถึงแห้งแล้ง (Semi-arid to Arid Climate) โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเพียงเเค่ 200-250 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ควรอยู่ที่ประมาณ 1,000 มิลลิเมตรต่อปี
ฤดูกาลในคาลาฮารีแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก คือ ฤดูแล้ง (เดือนเมษายน-ตุลาคม) และ ฤดูฝน (เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม) แต่แม้ในฤดูฝน ปริมาณน้ำฝนก็ยังคงมีอยู่น้อย และ ยังตกไม่แน่นอน บางปีอาจมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ขณะที่พื้นที่อื่นๆ อาจไม่มีฝนเลย การกระจายตัวของฝนที่ไม่สม่ำเสมอนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การดำรงชีวิตในคาลาฮารีเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก นอกจากนี้อุณหภูมิในคาลาฮารียังมี ความผันผวนสูง ในช่วงกลางวันอุณหภูมิสามารถสูงถึง 45-50 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในฤดูร้อน แต่ในช่วงกลางคืนอุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว อาจต่ำลงไปถึง 5-10 องศาเซลเซียส ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างวันและคืนที่มากถึง 30-40 องศาเซลเซียสนี้เกิดจากความแห้งแล้งของอากาศที่ไม่สามารถกักเก็บความร้อนไว้ได้นั้นเอง
พืชและสัตว์ในทะเลทรายคาลาฮารี
แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่รุนแรง แต่ทะเลทรายคาลาฮารียังคงเป็นบ้านของพืช และ สัตว์หลากหลายชนิดที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแห้งแล้งได้อย่างน่าทึ่ง ความหลากหลายทางชีวภาพในคาลาฮารีสูงกว่าทะเลทรายอื่นๆ อย่างมาก เนื่องจากยังคงมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบางประเภท
พืชพรรณในคาลาฮารีส่วนใหญ่เป็นพืชที่มีการปรับตัวพิเศษ เช่น หญ้าคาลาฮารี (Kalahari Grass) ที่มีรากลึกและสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องการน้ำมากนัก ต้นอะเคเซีย (Acacia) หลายชนิดที่มีใบเล็กและมีหนามเพื่อลดการสูญเสียน้ำ และต้นแบโอบับ (Baobab) ยักษ์ที่สามารถเก็บกักน้ำไว้ในลำต้นได้หลายพันลิตร ต้นไม้เด่นๆ ในคาลาฮารีได้แก่ ต้น Camelthorn (Acacia erioloba) ที่สามารถยื่นรากลึกลงไปถึง 60 เมตร เพื่อค้นหาน้ำใต้ดิน ต้นไม้เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ เป็นที่หลบร้อนสำหรับสัตว์และเป็นแหล่งอาหารในรูปของใบ ฝัก และเมล็ด ต้น Shepherd’s Tree (Boscia albitrunca) เป็นอีกพืชสำคัญที่ชาวบุชแมนใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
พืชอวบน้ำ เช่น แคคตัส Hoodia และ พืชตระกูล Aloe หลายชนิด มีการปรับตัวโดยการเก็บกักน้ำไว้ในเนื้อเยื่อ และมีผิวหนังหนาเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ พืชเหล่านี้มักจะมีรสขมหรือมีสารพิษเพื่อป้องกันการถูกกินโดยสัตว์
สัตว์ในคาลาฮารีมีการปรับตัวที่น่าทึ่งเพื่อเอาชนะสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก สิงโต กิราฟ ช้าง และแรดที่อาศัยอยู่ในคาลาฮารีมีขนาดเล็กกว่าและมีสีอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับญาติในพื้นที่อื่น เป็นการปรับตัวเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ร้อนแล้ง สัตว์เล็กๆ เช่น เมียร์แคท (Meerkat) มีพฤติกรรมการอยู่ในกลุ่มและการขุดโพรงใต้ดินเพื่อหลบความร้อน สัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก เช่น จิ้งจอกหูใหญ่ (Bat-eared Fox) และแมวป่าแอฟริกัน (African Wild Cat) ออกหากินในช่วงค่ำคืนเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนของกลางวัน
มนุษย์ในคาลาฮารีอยู่รอดกันได้ยังไง
ชาวบุชแมน หรือที่เรียกในภาษาท้องถิ่นว่า ชาว “ซาน” (San) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารีมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี พวกเขามีภูมิปัญญาและเทคนิคการอยู่รอดที่สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้สามารถดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงนี้ได้อย่างยั่งยืน
การหาน้ำเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอดในคาลาฮารี ชาวซานมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหาแหล่งน้ำใต้ดิน พวกเขาสามารถอ่านสัญญาณต่างๆ เช่น ชนิดของพืชที่เติบโตในพื้นที่ รอยเท้าของสัตว์ และการเปลี่ยนแปลงของดิน เพื่อระบุตำแหน่งของน้ำใต้ดิน ในกรณีฉุกเฉิน พวกเขาสามารถดูดน้ำจากรากของพืชหรือจากท้องของสัตว์ที่ล่ามาได้ โดยเทคนิคการหาอาหารของชาวซานมีความซับซ้อน และ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง พวกเขารู้จักพืชกินได้ เเละ กินไม่ได้มากกว่า 200 ชนิด รวมถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บหาแต่ละชนิด การล่าสัตว์ใช้เทคนิคการติดตาม การใช้หอกและธนูที่ชุบยาพิษจากแมลง การทำกับดักและการล่าแบบกลุ่ม
ที่อยู่อาศัยของชาวซานเป็นแบบชั่วคราวและเคลื่อนที่ได้ เรียกว่า “สเคิร์ม” (Scherm) ทำจากกิ่งไผ่และหญ้าแห้ง สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถทิ้งไปได้เมื่อต้องการย้ายที่ การย้ายถิ่นเป็นการปรับตัวสำคัญเพื่อตามหาแหล่งน้ำและอาหารตามฤดูกาล พวกเขายังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ของชาวซานช่วยในการนำทางข้ามพื้นที่กว้างใหญ่ที่ไม่มีจุดสังเกตที่เด่นชัด พวกเขาสามารถอ่านตำแหน่งดวงดาวและทิศทางลมเพื่อหาทางในความมืดหรือระหว่างพายุฝุ่น