แอฟริกา ทวีปที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสุดมหัศจรรย์และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์แบบที่ไม่มีที่ใดเหมือน ตั้งแต่ทะเลทรายที่ร้อนระอุไปจนถึงภูเขาหิมะยอดสูง สัตว์ป่านานาชนิด และ แม่น้ำป่าที่อุดมสมบูรณ์ หากคุณกำลังมองหาการผจญภัยที่แท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 6 สถานที่ธรรมชาติระดับโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
1. น้ำตกวิกตอเรีย (Victoria Falls)
ทำไมถึงต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง
ในดินแดนทางตอนใต้ของแอฟริกา มีพรมแดนระหว่างประเทศแซมเบียและซิมบับเวซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือน้ำตกวิกตอเรีย (Victoria Falls) น้ำตกแห่งนี้มีความกว้างถึง 1,708 เมตร และความสูงราว 108 เมตร เมื่อกระแสน้ำจากแม่น้ำแซมเบซีพุ่งตกจากหน้าผาลงสู่เบื้องล่าง เกิดเสียงดังกระหึ่มและหมอกน้ำลอยคลุ้งทั่วบริเวณ ส่งผลให้ได้ชื่อในภาษาท้องถิ่นว่า “Mosi-oa-Tunya” หรือ “ควันที่คำราม”
ความอลังการของน้ำตกแห่งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของขนาด แต่ยังรวมถึงพลังที่สัมผัสได้ด้วยโสตประสาทและสายตา เป็นสถานที่ในแอฟริกาที่ทำให้ผู้มาเยือนแทบหยุดหายใจ การได้ยืนอยู่บน Knife-Edge Bridge เพื่อชมม่านน้ำตกอย่างใกล้ชิด หรือ กิจกรรมสุดตื่นเต้นอย่างบินเฮลิคอปเตอร์เหนือผืนน้ำตก ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด
ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด
แม้ว่าน้ำตกวิกตอเรียจะเปิดให้ชมได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม หลังฤดูฝนผ่านพ้น เป็นช่วงที่น้ำไหลหลาก ทำให้น้ำตกมีพลังสูงสุด หากคุณต้องการถ่ายภาพหรือลองกิจกรรมผจญภัยที่บริเวณน้ำตก แนะนำช่วง กรกฎาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นฤดูแล้ง น้ำจะน้อยลงเล็กน้อยแต่สภาพอากาศเหมาะกับการเดินทางและมองเห็นวิวได้ชัดเจนมากขึ้น
2. ซาฟารีแห่งเซเรนเกติ (Serengeti National Park)
การอพยพใหญ่แห่งปี
เมื่อพูดถึงแอฟริกา หลายคนจะนึกถึงซาฟารี และไม่มีที่ใดสะท้อนภาพซาฟารีในอุดมคติได้ดีเท่า อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ ในประเทศแทนซาเนีย ที่นี่คือบ้านของการอพยพของสัตว์ป่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หรือที่เรียกว่า The Great Migration ซึ่งมีสัตว์กว่า 2 ล้านชีวิต เช่น วิลเดอบีสต์ ม้าลาย และแอนทีโลป เดินทางข้ามทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เพื่อค้นหาอาหารและน้ำในวงจรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพฝูงสัตว์จำนวนมหาศาลวิ่งผ่านแม่น้ำที่เต็มไปด้วยจระเข้ หรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่กลางทุ่งหญ้าท่ามกลางฝูงสิงโตและเสือดาวที่ซุ่มรอ ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ตื่นตาที่สุดในแอฟริกา
ประเภทสัตว์ป่าที่ห้ามพลาด
เซเรนเกติคือสวรรค์ของนักดูสัตว์ป่า ที่นี่คุณมีโอกาสพบเจอ “Big Five” ได้แก่ สิงโต ช้าง แรด ควายป่า และเสือดาว ซึ่งเป็นสัตว์ที่หายากและเป็นไฮไลต์ของทริปซาฟารี ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสัตว์ที่น่าตื่นตาอีกมากมาย เช่น ยีราฟ ไฮยีนา นกกระจอกเทศ และนกฟลามิงโก
การท่องเที่ยวซาฟารีในแอฟริกานั้นมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การนั่งรถลุยป่าไปกับไกด์มืออาชีพ การพักค้างแรมในเต็นท์หรูใกล้ธรรมชาติ หรือการบินด้วยบอลลูนชมทุ่งหญ้าในยามเช้า ทุกอย่างล้วนมอบความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
3. ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara Desert)
ขี่อูฐและแคมป์กลางทะเลทราย
ซาฮาร่า คือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 9 ล้านตารางกิโลเมตรในแอฟริกาเหนือ ผ่านหลายประเทศ ได้แก่ โมร็อกโก แอลจีเรีย อียิปต์ ตูนิเซีย และลิเบีย แม้จะดูแห้งแล้งแต่ทะเลทรายแห่งนี้กลับมีความงดงามเฉพาะตัว ทั้งเนินทรายลูกยักษ์ โอเอซิสกลางผืนทราย และชนเผ่าเบอร์เบอร์ผู้ดำรงชีวิตอย่างสงบในดินแดนสุดท้าทาย
กิจกรรมยอดนิยมคือการ ขี่อูฐเดินทางผ่านทะเลทราย พร้อมกับตั้งแคมป์ในกระโจมแบบดั้งเดิมใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เป็นการหลีกหนีโลกวุ่นวายสู่ความสงบอันลึกลับของธรรมชาติแบบแอฟริกาแท้ ๆ
เวลาที่เหมาะสมในการเยือน
อุณหภูมิในทะเลทรายซาฮาร่าอาจร้อนระอุถึง 50°C ในช่วงฤดูร้อน ดังนั้นช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการเดินทางคือ ตุลาคมถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายกว่า กลางวันอบอุ่นและกลางคืนเย็น อุณหภูมิที่เหมาะกับการตั้งแคมป์ เดินทาง และถ่ายภาพบรรยากาศอันเงียบสงบ
4. เทือกเขาคิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro)
เส้นทางปีนเขาท้าทาย
หนึ่งในไอคอนสำคัญของแอฟริกา ก็คือ ภูเขาคิลิมันจาโร ตั้งตระหง่านอยู่ในประเทศแทนซาเนีย ด้วยความสูง 5,895 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ที่นี่เป็น ภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา และเป็นหนึ่งในยอดเขา 7 แห่งที่นักปีนเขาใฝ่ฝันจะพิชิต
คิลิมันจาโรเป็นภูเขาไฟที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความท้าทาย ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การปีนเขาในระดับสูงก็สามารถลองได้หากมีการเตรียมตัวที่ดี โดยเส้นทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- Marangu Route: เส้นทางที่มีที่พักเป็นกระท่อมไม้ (hut) สะดวกสบายที่สุด
- Machame Route: เส้นทางที่วิวสวยที่สุด เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาหลายวัน
- Lemosho Route: เส้นทางเงียบสงบ มีโอกาสปรับตัวกับระดับความสูงได้ดี
ระดับความสูงและอาการแพ้ความสูง
เพราะคิลิมันจาโรมีระดับความสูงมากกว่า 5,000 เมตร นักเดินทางหลายคนอาจเผชิญกับ อาการแพ้ความสูง (Altitude Sickness) อาทิ ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือหายใจลำบาก
การเดินอย่างช้า ๆ พักผ่อนเพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ เป็นวิธีรับมือที่สำคัญ โดยผู้ที่ต้องการพิชิตยอด Uhuru Peak ควรเลือกเส้นทางที่ใช้เวลา 7 วันขึ้นไปเพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับตัว
การพิชิตยอดเขาคิลิมันจาโรไม่เพียงแต่เป็นความท้าทายทางร่างกายและจิตใจ แต่ยังเป็นประสบการณ์ที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้เดินทางสู่แอฟริกาอย่างแท้จริง
5. เทือกเขาเดรเคนส์เบิร์ก (Drakensberg Mountains)
จุดชมวิวยอดฮิต
เทือกเขาเดรเคนส์เบิร์ก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแอฟริกาใต้ เป็นเทือกเขาที่มีความยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ด้วยทัศนียภาพอันตระการตา ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาสูงชัน ทุ่งหญ้ากว้าง และน้ำตกไหลลดหลั่น
หนึ่งในจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อคือ Amphitheatre ซึ่งเป็นแนวเขารูปร่างคล้ายเวทีคอนเสิร์ตขนาดมหึมา จากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อนสุดสายตา โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็นที่หมอกบางลอยคลุ้งเหนือหุบเขา สร้างบรรยากาศชวนฝัน
เส้นทางเดินป่าและน้ำตกในเส้นทาง
เทือกเขาเดรเคนส์เบิร์กมีเส้นทางเดินป่าหลายระดับความยากง่าย ตั้งแต่เส้นทางสั้น 1-2 ชั่วโมง ไปจนถึงเส้นทางแบบเดินค้างคืน หนึ่งในเส้นทางยอดนิยมคือ Tugela Falls Trail ซึ่งพาไปชม Tugela Falls น้ำตกที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (ราว 948 เมตร)
เส้นทางนี้เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันหลากหลาย ทั้งป่าเขียวขจี หน้าผาสูง และทางเดินเลียบเหวที่สวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่สามารถพบเจอกับสัตว์ป่าเฉพาะถิ่นของแอฟริกาใต้ เช่น ลิงบาบูน และนกอินทรีแอฟริกัน
6. แดลตาโอโควันโก (Okavango Delta)
น้ำจืดใจกลางทะเลทราย
ในขณะที่ทะเลทรายมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้ง แต่ Okavango Delta ในประเทศบอตสวานากลับเป็นข้อยกเว้นอย่างน่าทึ่ง ที่นี่คือ สามเหลี่ยมน้ำจืดขนาดมหึมากลางทะเลทรายคาลาฮารี ซึ่งเกิดจากแม่น้ำโอคาวังโกไหลลงสู่ที่ราบโดยไม่มีทางออกสู่ทะเล
ระบบนิเวศของโอโควันโกเดลต้าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าแอฟริกา โดยเฉพาะในฤดูน้ำหลากระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม
ทัวร์เรือโมคอารี (Mokoro)
วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสธรรมชาติที่นี่คือการนั่งเรือไม้ดั้งเดิมที่เรียกว่า “โมคอารี (Mokoro)” ซึ่งเป็นเรือแคบ ๆ แบบพายพาไปตามทางน้ำแคบ ๆ ที่มีต้นกกและดอกบัวขึ้นเบียดแน่น สร้างบรรยากาศชวนหลงใหล
ระหว่างทาง นักท่องเที่ยวอาจได้เห็นฝูงฮิปโปโผล่หัวขึ้นเหนือน้ำ หรือฝูงช้างที่เดินมาอาบน้ำริมฝั่ง เป็นประสบการณ์ที่เงียบสงบแต่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาในสไตล์ แอฟริกา
สัตว์ป่าน้ำจืดที่หาชมยาก
Okavango Delta คือบ้านของสัตว์ป่าน้ำจืดที่หาได้ยาก เช่น จระเข้น้ำจืด แอนทีโลปสายพันธุ์ Lechwe และนกหลากหลายสายพันธุ์กว่า 400 ชนิด นอกจากนี้ยังสามารถพบแมวป่า เสือดาว และไฮยีนาที่ออกหากินยามค่ำคืน
พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ยังถือเป็นแบบอย่างของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมที่ยั่งยืน เช่น ซาฟารีแบบไม่ใช้เครื่องยนต์ หรือพักในลอดจ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติในแอฟริกา
สรุป
ทวีปแอฟริกาไม่ได้มีแค่สัตว์ป่าและทะเลทราย หากแต่เป็นขุมทรัพย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะชอบการผจญภัย ปีนเขา ชมสัตว์ป่า หรือหลงใหลในภูมิทัศน์ที่แปลกตา แอฟริกาก็มีคำตอบให้คุณเสมอ พร้อมให้คุณสัมผัสความอลังการของโลกใบนี้ในแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน