แม้โลกจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อทั่วโลก แต่ยังมี “ชนเผ่า” หลายกลุ่มที่เลือกปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง ปกป้องวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของตนไว้ ชนเผ่าเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ห่างไกลจากอารยธรรม แต่หลายเผ่ายังถือว่า “อันตราย” สำหรับผู้ที่พยายามเข้าไปใกล้ พวกเขามีกฎ กติกา และวิถีความเชื่อเฉพาะของตนเอง บางกลุ่มถึงขั้นใช้ความรุนแรงในการป้องกันไม่ให้โลกภายนอกล่วงรู้ความลับของพวกเขา
1. ชนเผ่าเซนติเนลลีส (Sentinelese Tribe)
กลุ่มสุดท้ายที่แทบไม่เคยติดต่อโลกภายนอก
ชนเผ่าเซนติเนลลีสอาศัยอยู่บนเกาะนอร์ธเซนติเนลในทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลอินเดีย พวกเขาได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในชนเผ่า “แยกตัว” (Isolated Tribe) อย่างสมบูรณ์ โดยไม่เคยมีการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างเป็นทางการมาก่อนเลย
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจำนวนประชากรของชนเผ่าเซนติเนลลีสมีกี่คน หรือมีภาษาและความเชื่อเช่นไร สิ่งที่นักมานุษยวิทยาทราบมีเพียงการคาดการณ์จากการสังเกตทางไกล เช่น การใช้หอก ธนู เรือแคนู และการสร้างกระท่อมไม้ที่เรียบง่าย พวกเขามีวิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติโดยสิ้นเชิง และไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวนความสงบของเกาะ
ยิงธนูใส่ผู้มาเยือนโดยไม่ลังเล
เหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความอันตรายของชนเผ่าเซนติเนลลีสคือ การเสียชีวิตของชายชาวอเมริกันชื่อ John Allen Chau ในปี 2018 ซึ่งพยายามลักลอบขึ้นเกาะเพื่อเผยแผ่ศาสนา แต่กลับถูกยิงด้วยธนูและเสียชีวิตทันที เหตุการณ์นี้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในระดับนานาชาติ และสะท้อนให้เห็นว่าเซนติเนลลีสพร้อมจะใช้กำลังอย่างเด็ดขาดหากมีผู้ล่วงล้ำ
รัฐบาลอินเดียได้ประกาศให้เกาะนอร์ธเซนติเนลเป็นพื้นที่ต้องห้าม และห้ามมิให้ประชาชนหรือชาวต่างชาติเข้าใกล้ในระยะ 5 กิโลเมตร โดยเด็ดขาด เพื่อปกป้องทั้งตัวชนเผ่า (ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคจากภายนอก) และเพื่อความปลอดภัยของผู้มาเยือนเอง
การยิงธนูใส่ผู้บุกรุกจึงไม่ใช่เพียงการป้องกันตัว แต่เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะรักษาวิถีชีวิตของชนเผ่าให้คงอยู่อย่างไร้การปะปนจากอิทธิพลภายนอก
ขอบคุณภาพจาก : medium.com/@joyan
2. ชนเผ่าโครูโบ (Korubo Tribe)
ชนเผ่าแห่งป่าแอมะซอนที่ดุดัน
โครูโบเป็นหนึ่งในชนเผ่า “ไม่ติดต่อ” (Uncontacted Tribe) ของบราซิล โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตป่าดิบชื้นของรัฐอามาโซนัส (Amazonas) พวกเขาไม่มีภาษาเขียน ใช้ภาษาพูดที่ไม่มีระบบมาตรฐาน และอาศัยอยู่แบบรวมกลุ่มในกระท่อมที่สร้างจากไม้ไผ่และใบปาล์ม
ชนเผ่าโครูโบดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ ตกปลา และเก็บผลไม้ตามฤดูกาล พวกเขามีความรู้ลึกซึ้งด้านสมุนไพรป่าและสามารถรักษาโรคพื้นฐานได้ด้วยตนเอง ความเชื่อเรื่องวิญญาณและจิตวิญญาณของสัตว์ทำให้การล่าสัตว์ต้องกระทำด้วยความเคารพ ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความโลภ
ทำไมจึงถือว่าอันตราย?
ชนเผ่าโครูโบมีประวัติการปกป้องดินแดนของตนอย่างดุเดือด พวกเขาเคยโจมตีเจ้าหน้าที่ภาครัฐและนักสำรวจที่พยายามเข้าใกล้ถิ่นฐานของตนอย่างผิดกฎหมาย หลายรายได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
หนึ่งในเหตุผลที่ชนเผ่าโครูโบปฏิเสธโลกภายนอกคือประสบการณ์ในอดีตที่เคยถูกล่าและสังหารโดยคนขาวเมื่อหลายทศวรรษก่อน ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้ใจและโกรธแค้นฝังแน่น พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้ความรุนแรงตอบโต้ทันทีเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้
3. ชนเผ่ามาชโก-ปีโร (Mashco-Piro Tribe)
วิถีเร้นลับแห่งเปรู
ชนเผ่ามาชโก-ปีโร อาศัยอยู่ในเขตป่าดิบชื้นลึกทางตะวันออกของประเทศเปรู โดยมักเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยตามฤดูกาลเพื่อหาอาหารและหลีกเลี่ยงภัยคุกคาม พวกเขาไม่สร้างบ้านถาวร และมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดาชนเผ่าลึกลับในอเมริกาใต้
เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่มักทำจากเปลือกไม้หรือวัสดุธรรมชาติ และใช้ดินโคลนทาตัวเป็นการป้องกันแมลงและแดด วิถีชีวิตของชนเผ่ามาชโก-ปีโรเป็นเหมือนเงาที่ไร้ร่องรอย นักวิจัยมักเห็นเพียงเงาคนในป่าหรือร่องรอยของกองไฟเท่านั้น
ความพยายามเข้าใกล้ที่ไม่สำเร็จ
แม้รัฐบาลเปรูจะพยายามให้ความคุ้มครองพื้นที่อาศัยของชนเผ่านี้โดยการประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ แต่ก็มีการรายงานว่าชาวบ้านบางคนพยายามเข้าไปติดต่อเพื่อค้าขายกับเผ่า แลกเปลี่ยนของใช้ เช่น มีด ผ้าห่ม และอาหารแปรรูป
อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านั้นมักจบลงด้วยความล้มเหลว บางครั้งชนเผ่ามาชโก-ปีโรแสดงอาการก้าวร้าว ขว้างหอกหรือก้อนหินใส่ผู้ที่พยายามเข้ามาใกล้ พวกเขามีความเชื่อว่าโลกภายนอกนำโรคร้ายและหายนะมาสู่เผ่าตน ซึ่งเกิดขึ้นจริงจากกรณีที่โรคหัดเคยคร่าชีวิตสมาชิกในเผ่าไปจำนวนมากในอดีต
ขอบคุณภาพจาก : diospi-suyana.de
4. ชนเผ่ามูร์ซี (Mursi Tribe)
นักรบแห่งหุบเขาโอโม
ชนเผ่ามูร์ซีตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหุบเขาโอโมทางตอนใต้ของประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดในแอฟริกา โดยเฉพาะการแต่งกายและการตกแต่งร่างกาย
หญิงชาวมูร์ซีจะเจาะริมฝีปากล่างและใส่แผ่นดินเผา (lip plate) ขนาดใหญ่เข้าไป ซึ่งถือเป็นค่านิยมเรื่องความงามและสถานะทางสังคม ขนาดของแผ่นจานยิ่งใหญ่ ยิ่งแสดงถึงเกียรติยศ ส่วนผู้ชายจะถือปืนหรือหอก และมักตกแต่งร่างกายด้วยการทาสีโคลนหรือวาดลวดลายต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการล่าสัตว์หรือการสู้รบ
นอกจากนี้ พวกเขายังมีการแข่งขันประจำเผ่าอย่างการ “โดงา” (Donga) หรือการประลองไม้ยาว ที่เป็นทั้งการแสดงความกล้าหาญ ความเป็นชาย และยังเป็นช่องทางในการเลือกคู่ครองของสาวมูร์ซีด้วย
การเผชิญหน้าที่ไม่เป็นมิตร
แม้ในปัจจุบันชนเผ่ามูร์ซีจะเริ่มรู้จักกับโลกภายนอกมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวแห่กันไปเยี่ยมชมและถ่ายภาพ แต่การติดต่อกับพวกเขานั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะชาวมูร์ซีมีความรู้สึกต่อต้านต่อคนต่างถิ่นที่เข้าไปโดยไม่ให้ความเคารพหรือพยายามละเมิดวัฒนธรรมของเผ่า
บางครั้งพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่จ่ายเงินเพื่อถ่ายภาพ หรือพูดจาล้อเลียนวัฒนธรรมของเผ่า ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดและนำไปสู่เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่น การโต้เถียงรุนแรง หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงตอบโต้จากฝั่งของเผ่า
5. ชนเผ่าเมนตาไว (Mentawai Tribe)
วิถีชีวิตแห่งป่าฝนบนเกาะสุมาตรา
ชนเผ่าเมนตาไวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะเมนตาไวในประเทศอินโดนีเซียมานานหลายร้อยปี พวกเขามีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยมีความเชื่อในเรื่อง “ซาอูดู” หรือวิญญาณในธรรมชาติ และมักทำพิธีกรรมเพื่อสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า
อาหารหลักของชนเผ่าเมนตาไวคือหัวบอน ไม้ผล และปลาที่จับได้จากแม่น้ำ พวกเขายังเลี้ยงหมูและไก่ไว้ใช้ในพิธีสำคัญ การสักลายทั่วร่างกายและการเหลาเขี้ยวเป็นธรรมเนียมที่แสดงถึงการเป็นผู้ใหญ่ และยังบ่งบอกถึงตำแหน่งทางสังคมในเผ่าอีกด้วย
การป้องกันตนจากโลกภายนอก
แม้จะมีบางกลุ่มของชนเผ่าเมนตาไวที่เปิดรับนักท่องเที่ยวและนักวิจัย แต่ชนเผ่าดั้งเดิมส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้ชีวิตอย่างแยกตัวจากอารยธรรม พวกเขามีความระแวงต่อเทคโนโลยีและความทันสมัย เพราะเกรงว่าการติดต่อกับโลกภายนอกจะทำลายความสมดุลของวัฒนธรรมดั้งเดิม
รัฐบาลอินโดนีเซียได้มีความพยายามในการย้ายพวกเขาออกจากถิ่นฐานเดิม เพื่อให้ได้รับการศึกษาและบริการทางสาธารณสุข แต่กลับได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากชนเผ่าเมนตาไวที่ต้องการรักษารูปแบบชีวิตตามบรรพบุรุษไว้
ทำไมชนเผ่าเหล่านี้ถึงยังคงอยู่ในโลกปัจจุบัน?
ความกลัวโรคภัยและการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม
ชนเผ่าดั้งเดิมเหล่านี้เคยเผชิญกับภัยจากโรคติดต่อต่างๆ ที่มากับนักสำรวจหรือคนจากโลกภายนอก ซึ่งบางครั้งทำให้ประชากรในเผ่าลดลงอย่างมาก อีกทั้งยังมีความกลัวว่าการเปิดรับวัฒนธรรมภายนอกจะทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ของตน
ข้อถกเถียงระหว่าง “สิทธิในการอยู่อย่างลับ” กับ “สิทธิในการเข้าถึง”
มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนให้ ชนเผ่า เหล่านี้ได้รับสิทธิในการอยู่อย่างแยกตัว ขณะที่นักสำรวจหรือบริษัทท่องเที่ยวบางรายมองว่าการเปิดให้เข้าถึงสามารถสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมและรายได้ทางเศรษฐกิจ