เมื่อพูดถึง เกอิชา หลายคนอาจนึกถึงภาพหญิงสาวในชุดกิโมโนสุดหรู หน้าขาวจัดจ้าน และท่วงท่าสง่างาม แต่เบื้องหลังภาพที่งดงามเหล่านั้น มีเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังต้องทึ่ง วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 10 เรื่องจริงของ เกอิชา ที่อาจเปลี่ยนมุมมองของคุณไปตลอดกาล
1. เกอิชาไม่ได้ขายบริการทางเพศ
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุด คือ การคิดว่าเกอิชาเป็นโสเภณีหรือผู้ให้บริการทางเพศ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว หน้าที่หลักของเกอิชาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อย
หน้าที่แท้จริงของเกอิชา
หน้าที่ของเกอิชาคือการให้ความบันเทิงแก่แขกผู้มาเยือนในลักษณะของ “ศิลปิน” พวกเธอเชี่ยวชาญในศิลปะการแสดง ทั้งการร่ายรำ การขับร้อง การเล่นดนตรีแบบดั้งเดิม เช่น ชามิเซ็น และที่สำคัญคือ ศิลปะการสนทนา ที่ทำให้แขกรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
ในงานเลี้ยงแบบดั้งเดิม (โอซะไก) เกอิชาจะดูแลบรรยากาศให้สนุกสนาน ด้วยการเล่าเรื่องตลก เล่นเกม หรือแม้กระทั่งร่ายรำประกอบดนตรี การมีเกอิชาปรากฏตัวในงานถือเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติและความมีระดับของเจ้าภาพ
ทำไมคนถึงเข้าใจผิด?
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสน มาจากช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศและรับนักท่องเที่ยวจากชาติตะวันตก บางครั้งผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการได้แอบอ้างตนเองว่าเป็น “เกอิชา” เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือและมีคุณค่าทางสังคมมากขึ้น ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดที่ยังหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
2. กว่าจะเป็นเกอิชา ต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก
เส้นทางสู่การเป็น เกอิชา ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งความตั้งใจ ความอดทน และเวลาในการฝึกฝนยาวนานหลายปี
ชีวิตในวัยเด็กของผู้ฝึกเป็นเกอิชา
เด็กหญิงที่มีความฝันอยากเป็นเกอิชา (หรือผู้ที่ครอบครัวส่งเข้าสังกัดโอกิยะ – บ้านเกอิชา) จะเริ่มจากการเป็น “ชิกุมิ” (เด็กฝึกงาน) ตั้งแต่อายุประมาณ 6–10 ปี เด็กเหล่านี้จะเริ่มเรียนรู้กิริยามารยาทขั้นพื้นฐาน เช่น การเดิน การนั่ง และการคำนับอย่างงดงาม
หลังจากนั้น เมื่ออายุประมาณ 14–15 ปี เด็กหญิงจะเริ่มสวมชุด “ไมโกะ” และเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกฝนที่จริงจัง ซึ่งประกอบด้วย:
- การเรียนร่ายรำแบบญี่ปุ่น (นิฮงบุโยะ)
- การฝึกบรรเลงชามิเซ็น (เครื่องสายแบบญี่ปุ่น)
- การเรียนร้องเพลงแบบดั้งเดิม
- การฝึกมารยาทในการเสิร์ฟน้ำชาและรับรองแขก
- การศึกษาศิลปะการพูดและการฟังที่มีความละเอียดอ่อน
ทุกวันไมโกะต้องเรียนและฝึกฝนอย่างเข้มข้น โดยมีอาจารย์เฉพาะทางสำหรับแต่ละแขนงศิลปะ และต้องผ่านการประเมินอย่างเคร่งครัดก่อนจะได้รับการยอมรับเป็นเกอิชาเต็มตัว
ระยะเวลาในการฝึก
กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นเกอิชาได้เต็มตัว อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5–6 ปีขึ้นไป ซึ่งตลอดช่วงเวลานี้ ผู้ฝึกจะต้องเสียสละชีวิตวัยรุ่นทั้งหมดให้กับการเรียนศิลปะ วัฒนธรรม และการฝึกฝนวินัยอย่างจริงจัง
3. “ไมโกะ” และ “เกอิชา” ไม่ใช่คำเดียวกัน!
ถึงแม้จะเห็นทั้งไมโกะและเกอิชาใส่ชุดกิโมโนสวยงาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งสองคือสิ่งเดียวกัน พวกเธอมีบทบาทและสถานะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ไมโกะคือใคร?
“ไมโกะ” (舞妓) แปลตามตัวว่า “เด็กสาวนักร่ายรำ” คือผู้ฝึกหัดที่อยู่ในระหว่างการฝึกเป็นเกอิชาเต็มตัว ไมโกะจะเน้นการเรียนรู้ศิลปะการร่ายรำและดนตรีเป็นหลัก รวมถึงเรียนรู้มารยาท การสนทนา และการดูแลแขกในงานเลี้ยง
- อายุ: ไมโกะส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 15–20 ปี
- ลักษณะการแต่งกาย: ไมโกะสวมกิโมโนสีสดใส ลวดลายหนาแน่น มีโอบิ (สายรัดเอว) ที่ผูกห้อยยาวถึงพื้น ทรงผม (วะชิมากา) ประดับด้วยเครื่องประดับ (คันซาชิ) จำนวนมาก
- การแต่งหน้า: หน้าแต่งขาว ปากแดงเฉพาะส่วนล่าง ดูสดใสและน่ารักกว่าผู้ใหญ่
เกอิชาคือใคร?
“เกอิชา” (芸者) หรือ “เกโกะ” (ในเกียวโต) คือผู้ที่ผ่านการฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบแล้ว
- อายุ: ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัย 20 ปีขึ้นไป
- ลักษณะการแต่งกาย: กิโมโนสีเรียบหรู ลวดลายน้อยลง โอบิผูกสั้นกว่าของไมโกะ และทรงผมมักใช้วิกแทนการจัดแต่งจริง
- การแต่งหน้า: ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่งหน้าเรียบง่ายและเน้นความสง่างามของผู้ใหญ่
ความสำคัญของการแยกความต่าง
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างไมโกะและเกอิชา ช่วยให้เรามองเห็นเส้นทางแห่งการพัฒนาอย่างชัดเจน และเข้าใจถึงการเคารพในศิลปะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
4. เครื่องแต่งกายของเกอิชา มีความหมายทุกชิ้น
สำหรับ เกอิชา เครื่องแต่งกายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับความสวยงามเท่านั้น แต่ทุกองค์ประกอบล้วนแฝงไปด้วยความหมายและกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในชุดกิโมโน
- กิโมโน: สี ลวดลาย และวัสดุของกิโมโนที่เกอิชาเลือกใช้จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและสถานะ เช่น กิโมโนลายดอกซากุระสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ลายใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับฤดูใบไม้ร่วง รวมถึงความแตกต่างระหว่างไมโกะที่นิยมกิโมโนสีสด กับเกอิชาที่สวมกิโมโนโทนเรียบหรู
- โอบิ: โอบิที่คาดรอบตัวมีขนาดใหญ่และยาวมาก เป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ การผูกโอบิต้องพิถีพิถัน เพราะรูปแบบการผูกยังบอกถึงสถานะ เช่น ไมโกะจะผูกโอบิห้อยยาวหลังโค้งงาม ในขณะที่เกอิชาจะผูกโอบิสั้นอย่างเป็นทางการ
- ทรงผม: ไมโกะจะจัดแต่งผมด้วยเครื่องประดับหลากสีสัน เช่น คันซาชิ (簪) หรือปิ่นปักผมที่เปลี่ยนไปตามเทศกาล ส่วนเกอิชาที่ผ่านการฝึกฝนแล้วจะนิยมสวมวิกเพื่อความเรียบร้อยและรวดเร็ว
- การแต่งหน้า: สีขาวของใบหน้าไม่ใช่แค่ความงาม แต่ยังสะท้อนถึงมาตรฐานของความบริสุทธิ์ ความพยายาม และการถวายตัวให้กับศิลปะ หน้าขาวที่เรียบเนียนต้องใช้เทคนิคเฉพาะในการลงรองพื้นด้วยแป้งข้าว
ความพิถีพิถันที่ไม่ธรรมดา
ทุกครั้งที่เกอิชาแต่งตัว พวกเธอต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพื่อให้ทุกชิ้นส่วนลงตัวและสมบูรณ์แบบ เพราะชุดกิโมโนที่งดงามนี้คือการแสดงถึงการเคารพตนเอง แขก และศิลปะที่พวกเธอเป็นตัวแทนอยู่
5. การร่ายรำและดนตรี คือหัวใจสำคัญของศิลปะเกอิชา
ศิลปะของ เกอิชา มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ “ความบันเทิงที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง” และแกนหลักของความบันเทิงนั้นคือ การร่ายรำและดนตรีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม
การร่ายรำที่บอกเล่าเรื่องราว
เกอิชาจะเรียนรู้การร่ายรำตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงท่ารำที่มีความหมายลึกซึ้ง เช่น การแสดงถึงฤดูกาล ความรัก ความเศร้า หรือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ท่ารำของเกอิชาจะเน้นการเคลื่อนไหวที่สง่างาม ช้า แต่แฝงไปด้วยพลังและอารมณ์
- ท่วงท่าที่ประณีต: ทุกการเคลื่อนไหวของมือ แขน และขาต้องประสานกันอย่างไร้ที่ติ ทั้งการก้าวเดินอย่างเบาและการหมุนตัวอย่างอ่อนช้อย
- การใช้พัด: พัดถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการร่ายรำ เกอิชาสามารถเล่าเรื่องทั้งเรื่องผ่านการเคลื่อนไหวของพัดเพียงอันเดียว
ดนตรีที่ไหลลื่นไปพร้อมกับหัวใจ
การบรรเลงชามิเซ็น (เครื่องสายสามสาย) เป็นทักษะที่สำคัญมากสำหรับเกอิชา นอกจากนี้ ยังมีการร้องเพลงโบราณ เช่น นางะอุทะ (長唄) และการตีระฆังเบา ๆ เพื่อเสริมจังหวะดนตรีในระหว่างการแสดง
ศิลปะเหล่านี้ไม่ได้เรียนรู้ได้ง่าย ๆ เกอิชาจะต้องฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นธรรมชาติ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ลึกซึ้งออกมาได้อย่างไร้รอยต่อในทุกการแสดง
6. เกอิชาต้องเรียนรู้ศิลปะการสนทนาอย่างลึกซึ้ง
นอกจากความสามารถด้านการแสดงและดนตรีแล้ว ศิลปะที่ซับซ้อนอีกอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้คือ “ศิลปะการสนทนา”
ความสำคัญของบทสนทนาในงานเลี้ยง
งานเลี้ยงในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่การกินอาหารหรือชมการแสดงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแขกด้วยการสนทนาอย่างมีชั้นเชิง และเกอิชาก็เป็นผู้รับบทบาทสำคัญในงานนี้
- การอ่านบรรยากาศ: เกอิชาต้องรู้ว่าควรเปิดบทสนทนาแบบไหน หยอกล้อในจังหวะใด และทำให้แขกทุกคนรู้สึกสนุกแต่ยังคงความสุภาพ
- การหลีกเลี่ยงหัวข้ออ่อนไหว: ต้องระมัดระวังเรื่องการเมือง ศาสนา หรือเรื่องส่วนตัวที่อาจทำให้แขกรู้สึกไม่สบายใจ
- การยกย่องโดยไม่ประจบสอพลอ: เกอิชาที่ดีจะสามารถทำให้แขกรู้สึกได้รับเกียรติโดยไม่ทำให้เสียความสมดุลของบทสนทนา
ทักษะที่ต้องฝึกฝนตลอดชีวิต
การสนทนาแบบเกอิชาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยพรสวรรค์เท่านั้น แต่เป็นผลจากการฝึกฝนอย่างหนัก ทั้งการอ่านหนังสือ ฟังการสนทนาของเกอิชารุ่นพี่ และฝึกการควบคุมอารมณ์ สีหน้า น้ำเสียง และภาษากายให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างแนบเนียน
7. เกอิชาสมัยใหม่ ยังมีอยู่จริงในญี่ปุ่น
แม้ว่าจะมีหลายคนเข้าใจว่า เกอิชา เป็นวัฒนธรรมที่สูญสลายไปพร้อมกับกาลเวลา แต่ความจริงแล้ว เกอิชาสมัยใหม่ยังคงมีตัวตนอยู่ และยังคงดำรงชีวิตตามวิถีเกอิชาที่แท้จริง
เกอิชาในยุคปัจจุบัน
ในเมืองเกียวโต โดยเฉพาะในเขตฮิกาชิยามะ กิอง และปอนโตโชะ ยังคงมีเกอิชาและไมโกะที่ฝึกฝนศิลปะดั้งเดิม และรับรองแขกในโอกาสพิเศษ เช่น งานเลี้ยงทางธุรกิจ งานแต่งงาน และเทศกาลท้องถิ่น
นอกจากนี้ เมืองใหญ่อื่น ๆ อย่างโตเกียว (เช่นในเขตชิมบาชิ) และคานาซาวะ ก็ยังมีชุมชนเกอิชาที่ดำรงอยู่อย่างภาคภูมิ โดยมีการปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่ เช่น การเปิดเวิร์คช็อปให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิธีแต่งกายและร่ายรำแบบเกอิชา
ความท้าทายในยุคใหม่
แม้เกอิชาจะยังมีอยู่ แต่จำนวนเกอิชาทั่วประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากวิถีชีวิตที่ต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและความทุ่มเทเต็มที่นั้น เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่เลือกเส้นทางนี้ อย่างไรก็ตาม เกอิชารุ่นใหม่ที่ยังคงเดินตามเส้นทางนี้ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการรักษาศิลปะดั้งเดิมท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
8. การเป็นเกอิชา ต้องลงทุนสูงมาก
การเป็น เกอิชา ไม่ได้ใช้แค่ความสามารถเท่านั้น แต่ยังต้องมีการลงทุนที่สูงมากทั้งในเรื่องของเวลา เงินทอง และความอดทน
ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการเป็นเกอิชา
- ค่าเรียนศิลปะ: การเรียนรำญี่ปุ่น ชามิเซ็น การร้องเพลง การจัดช่อดอกไม้ และพิธีชงชา ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยตลอดหลายปี
- ค่าเครื่องแต่งกาย: ชุดกิโมโนของเกอิชาไม่ใช่ชุดธรรมดา ราคาของชุดหนึ่งอาจสูงถึงหลักแสนหรือหลักล้านเยน ทั้งยังต้องมีเครื่องประดับอย่างพิถีพิถัน และต้องเปลี่ยนตามฤดูกาล
- ค่าบำรุงโอกิยะ: ผู้ที่อยู่ในโอกิยะ (บ้านเกอิชา) จะมีค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าฝึกสอน ที่ต้องชำระ ซึ่งบางคนต้องทำงานส่งเงินคืนให้โอกิยะอีกหลายปีหลังจากได้เป็นเกอิชาแล้ว
การคืนทุนจากอาชีพ
แม้จะต้องลงทุนสูง แต่เกอิชาที่มีชื่อเสียงก็สามารถมีรายได้ดีจากการรับรองแขกระดับสูง งานแสดงในเทศกาลใหญ่ หรือการแสดงในเวทีนานาชาติ อย่างไรก็ตาม รายได้เหล่านี้ยังคงถูกนำไปใช้ในการบำรุงรักษาศิลปะดั้งเดิมและชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตเกอิชา
9. กฎระเบียบของเกอิชาเคร่งครัดจนไม่น่าเชื่อ
การดำรงตนเป็น เกอิชา ไม่ใช่เพียงการแสดงศิลปะอย่างเดียว แต่ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อันเคร่งครัดทั้งในชีวิตส่วนตัวและอาชีพอย่างเข้มงวด
ตัวอย่างกฎระเบียบที่เกอิชาต้องปฏิบัติตาม
- รักษาความลับของแขก: ห้ามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแขกหรือการสนทนาใด ๆ ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง
- ควบคุมพฤติกรรมในที่สาธารณะ: ต้องรักษาภาพลักษณ์ของความสุภาพ สง่างาม และไม่ก่อให้เกิดข่าวเสียหาย
- เคารพมารยาททางสังคมอย่างเคร่งครัด: เช่น การโค้งคำนับ การใช้ถ้อยคำสุภาพ การควบคุมอารมณ์และสีหน้า
- ห้ามมีความสัมพันธ์ชู้สาวเปิดเผย: เพราะเกอิชาคือสัญลักษณ์ของความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวในที่สาธารณะ
การฝ่าฝืนกฎระเบียบเหล่านี้อาจทำให้เกอิชาถูกขับออกจากโอกิยะ และหมดอนาคตในสายอาชีพทันที ดังนั้นเกอิชาจึงต้องรักษาความประพฤติอย่างไร้ที่ติอยู่เสมอ
10. ความสง่างามของเกอิชา เป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนและความแข็งแกร่ง
เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูนุ่มนวล เรียบร้อย และเต็มไปด้วยเสน่ห์ คือ ความอดทนและความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ลึกซึ้ง
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงาม
- ความพยายามที่ไม่หยุดนิ่ง: การฝึกฝนศิลปะวันละหลายชั่วโมงเป็นเวลาหลายปี ทั้งในด้านการร่ายรำ ดนตรี และมารยาท
- การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม: แม้โลกจะเข้าสู่ยุคดิจิทัล เกอิชาก็ยังต้องรักษาศิลปะดั้งเดิมไว้ โดยปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัยในขณะเดียวกัน
- การเป็นตัวแทนของวัฒนธรรม: เกอิชาไม่เพียงแต่เป็นนักแสดง แต่ยังเป็นทูตทางวัฒนธรรมที่เผยแพร่มรดกญี่ปุ่นให้คนทั้งโลกได้รับรู้
ความงามที่มาจากภายใน
การยืนหยัดในเส้นทางเกอิชาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีทั้งวินัย ความอ่อนน้อม ความแข็งแกร่ง และความรักในศิลปะอย่างแท้จริง นี่คือเหตุผลที่ทำให้เกอิชากลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของวัฒนธรรมญี่ปุ่น
สรุป
เกอิชา ไม่ใช่เพียงแค่หญิงสาวในชุดกิโมโนที่ร่ายรำอย่างงดงาม แต่คือตัวแทนของศิลปะ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของญี่ปุ่นที่สืบทอดมาหลายร้อยปี การเข้าใจเบื้องหลังความงามนี้จะทำให้คุณเห็นคุณค่าของความพยายาม ความอดทน และความแข็งแกร่งที่เกอิชาทุกคนต้องมี