ทัวร์มาดากัสการ์ มอริเชียส รีอูนียง

ทัวร์มาดากัสการ์ รีอูนียง มอริเชียส 3 เกาะใหญ่แห่งมหาสมุทรอินเดีย ส่วนผสมที่ลงตัวของ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

ช่วงเวลาเดินทาง ทัวร์มาดากัสการ์ มอริเชียส รีอูนียง ประจำปี พ.ศ. 2566 – 2567

27 กรกฎาคม – 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

27 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 1 : เริ่มต้น ทัวร์มาดากัสการ์ กรุงเทพ – เรอูนียง – อันตานานาริโว (Antananarivo)

• 06.30 น. คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่เคาน์เตอร์เช็คอินสายการบิน Air Austral
• 09.00 น. ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ สู่ สนามบินโรลอง การ์รอส ด้วยไฟลต์บิน UU 888 (ใช้เวลาบินประมาณ 7.35 ชั่วโมง) สายการบินบริการอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน
• 13.35 น. เดินทางถึง สนามบินโรลอง การ์รอส (Roland Garros) เกาะเรอูนียง (Reunion) หลังจากนั้นให้ท่านได้พักเปลี่ยนเครื่อง ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
• 14.40 น. ออกเดินทางสู่ ประเทศมาดากัสการ์ ด้วยสายการบิน Air Austral ไฟลต์บิน UU611
• 15.30 น. เดินทางถึง สนามบินอิวาโต (Ivato International Airport) แห่งกรุงอันตานานาริโว (Antananarivo) ประเทศมาดากัสการ์ (Madagascar) แผ่นดินมหัศจรรย์ สวรรค์ของผู้รักธรรมชาติ  นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร
• พบปะกับไกด์ท้องถิ่น ดำเนินการเรื่องซิมการ์ด
• เย็น นำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองหลวงอันทานานาริโว ที่ท่านจะได้พบเห็นรูปแบบการดำรงชีวิตในเมืองหลวงที่วุ่นวายแต่คลาสิค การตากผ้ากับพื้นริมถนนแบบชาวมาลากาซี (Malagasy) หรือรถแท็กซี่สีขาวเรโนลต์ อายุกว่า 50 ปี รถโบราณรุ่นน่ารักกะทัดรัดแต่มากด้วยประสิทธิภาพ จากประเทศฝรั่งเศส ที่ยังคงวิ่งให้บริการเป็นรถแท็กซี่ และได้รับความนิยมใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งได้รับการส่งเสริมให้อนุรักษ์ไว้เป็นมรดกตกทอดอีกด้วย
• ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
• ที่พัก โรงแรม Radisson Blu Hotel, Antananarivo Waterfront หรือเทียบเท่า

เมืองหลวงอันทานานาริโวก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 2 เขตอุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ (Andasibe Mantadia National Park)

• เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.30 น. นำท่านเดินทางมุ่งหน้าจากเมือง อันดาสิเบ (Andasibe) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของอันตานานาริโว เข้าสู่ เขตอุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ (Andasibe Mantadia National Park) (ระยะทาง 170 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 – 5 ชม. โดยประมาณ) 
• ***พาหนะ Toyota Coaster ขนาด 15 ที่นั่ง กระเป๋าจะจัดวางไว้บนหลังคารถ***
• 11.00 น. โดยประมาณ นำท่านสู่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์เลื้อยคลาน (Réeserve Peyrieras Madagascar) เพื่อนำท่านเข้าชมกิ้งก่าคามิลเลียนสายพันธุ์ต่างๆ (Chameleons) เขตรักษาพันธุ์สัตว์แห่งนี้บริหารงานโดยเอกชน และก่อตั้งโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสนามว่า  André Peyriéras ผู้ซึ่งเป็นคนเก็บสะสมสัตว์เลื้อยคลายสายพันธุ์ต่างๆเอาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งพระเอกของที่นี่ก็คือบรรดากิ้งก่าคามิลเลียนหลากหลายสายพันธุ์ ตุ๊กแกแอฟริกา กบ อีกัวน่า รวมถึงสัตว์ใหญ่อย่างจระเข้ และรวมถึงผีเสื้อด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้เห็นลีเมอร์สายพันธุ์ประจำถิ่นอย่าง Sifaka หรือ Common brown lemur ท่านจะได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปสัตว์โลกเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)
• เดินทางสู่ เมือง Moramanga รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้าน Chez Diary ***จะถึงร้านอาหารเที่ยงช่วงเวลาประมาณ 13.30 น. เป็น Late lunch***
• บ่าย – เย็น เดินทางถึง อันดาสิเบ (Andasibe) จากนั้นให้ท่านเช็คอินเข้าโรงแรมที่พัก
• กิจกรรมช่วงกลางคืน นำท่านออก ชมลีเมอร์ในยามค่ำคืน (Nocturnal visit at VOI community-run reserve เพื่อให้ท่านได้มีโอกาสรับบรรยากาศการชมลีเมอร์ในยามค่ำคืน
• กลับมารับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
• ที่พัก โรงแรม Mantadia Lodge หรือ เทียบเท่า

เขตรักษาพันธุ์สัตว์เลื้อยคลาน (Réeserve Peyrieras Madagascar)

29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 3 อุทยานแห่งชาติอนาลามาโซตรา (Analamazaotra Special Reserve)

• เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.00 น. นำท่านสู่ อุทยานแห่งชาติอนาลามาโซตรา (Analamazaotra Special Reserve) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของอันตานานาริโว และเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติอันดาสิเบ (Andasibe–Mantadia National Park) ที่ได้ถูกจารึกไว้ใน มรดกโลก ในปี 2007 เพื่อเข้าชมความงามของธรรมชาติ และสัมผัสระบบนิเวศน์ในแบบป่าฝนของแอฟริกา เดินสำรวจธรรมชาติระยะสั้น เพื่อตามหา อินดรี – อินดรี (Indri Indri) สายพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นลีเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และใกล้จะสูญพันธุ์ ซึ่งลีเมอร์ อินดรี – อินดรี มีขนาดโตเทียบเท่ากับเด็กโต (สูงประมาณ150 เซนติเมตร) ล าตัวมีสีขาวด า และมีหูเป็นพู่กลมขนาดใหญ่ นอกจากนี้เสียงของ อินดรี – อินดรี นั้นสามารถได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตรอีกด้วย นอกจากนั้นท่านยังสามารถพบสายพันธุ์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น Bamboo lemur, Woolly lemur กิ้งก่าสีสันสดใส หรือแมลงต่างๆ มากมายหลากหลายสายพันธุ์กลางวัน (ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง)
• ***ในกรณีที่มีหมอกลงจัดหมอก อาจจะเลื่อนเวลาทำกิจกรรมออกให้สายขึ้น เนื่องจากสัตว์ส่วนจะยังไม่ active จนกว่าจะมีแสงอาทิตย์ ไกด์ท้องถิ่นจะเป็นผู้แจ้งอีกครั้ง***
• 10.30 น. นำท่านเข้าสู่ เกาะลีเมอร์ (Lemur Island) ซึ่งเป็นสถานที่อนุรักษ์ลีเมอร์ที่มีชื่อเสียงแห่งเกาะมาดากัสการ์ ให้ท่านได้สัมผัสความน่ารักของลิเมอร์ หลากหลายสายพันธุ์อย่างใกล้ชิด โดยการลงเรือแคนู ไปยังเกาะต่างๆ ที่มี ลีเมอร์อาศัยอยู่มากมาย โดยเฉพาะ เกาะลีเมอร์หางแหวน (Ring tailed) ที่มีลวดลายที่หางสวยงามเป็นวงแหวนสลับสีขาวดำ มีการเคลื่อนไหวร่างกายเหมือนลีลาการเต้นระบำ ให้อิสระท่านได้เก็บภาพความน่ารัก และเล่นกับลิเมอร์นานาชนิดตามอัธยาศัย (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)
• รับประทานอาหารกลางวัน ณ Hotel Feon’ ny Ala
• บ่าย นำท่านเดินทางกลับเมืองหลวง  เมืองหลวงอันทานานาริโว (ระยะทาง 170 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 – 5 ชม. โดยประมาณ)
• ที่ท่านจะได้พบเห็นรูปแบบการดำรงชีวิตในเมืองหลวงที่วุ่นวายแต่คลาสิค การตากผ้ากับพื้นริมถนนแบบชาวมาลากาซี (Malagasy) หรือรถแท็กซี่สีขาวเรโนลต์ อายุกว่า 50 ปี รถโบราณรุ่นน่ารักกะทัดรัดแต่มากด้วยประสิทธิภาพ จากประเทศฝรั่งเศส ที่ยังคงวิ่งให้บริการเป็นรถแท็กซี่ และได้รับความนิยมใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งได้รับการส่งเสริมให้อนุรักษ์ไว้เป็นมรดกตกทอดอีกด้วย
• 19.00 น. เดินทางกลับที่โรงแรมที่พัก
• ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
• ที่พัก โรงแรม Radisson Serviced Apartments Antananarivo City Center หรือเทียบเท่า

อินดรี – อินดรี (Indri Indri) สายพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นลีเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พบได้ใน อุทยานแห่งชาติอนาลามาโซตรา (Analamazaotra Special Reserve)

ลีเมอร์หางแหวน (Ring tailed)

ลีเมอร์หางแหวน (Ring tailed) ผู้โด่งดัง

Common brown lemur เกาะหลังนักท่องเที่ยว

Red-fronted lemur

Bamboo lemur

30 กรกฎาคม พ.ศ.2566 วันที่ 4 ถนนแห่งต้นเบาบับ (Avenue of the Baobabs)

• 08.00 – 08.45 น. รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 08.45 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบิน เพื่อเช็คอิน ณ สนามบินอิวาโต สู่เมือง โมรอนดาวา (Morondava)
• 12.15 น. ออกเดินทางโดยสายการบิน Air Madagascar ไฟล์บิน TZ702  สู่ เมือง โมรอนดาวา (Morondava)
• 13.15 น. เดินทางถึง สนามบินโมรอนดาวา (Morondava) ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งมีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีชายฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศโมซัมบิก โดยประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง
• หลังจากนั้นนำท่าน ***รับประทานอาหารเที่ยง Late lunch แบบ Seafood ณ โรงแรม Palissandre Cote Ouest Hotel*** โดยอาหารในมื้อนี้จะเป็น ปูทะเล กุ้งลอบสเตอร์ ปรุงสดที่นำมาโดยชาวประมงท้องถิ่นจากมหาสมุทรอินเดีย
• บ่าย นำท่านเดินทางมุ่งหน้าสู่ Avenue of the Baobabs ซึ่งมีต้นเบาบับขึ้นตลอดช่วงสองข้างทางมากมาย ต้นเบาบับถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาดากัสการ์ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนที่สุดเฉลี่ย 1,000 – 3,000 ปี และสามารถมีอายุอยู่ได้ถึง 6000 ปี ถือเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในโลก
• ถนนแห่งต้นเบาบับ (Avenue of the Baobabs) เต็มไปด้วยแนวต้นเบาบับมากมาย รูปทรงสวยงามแปลกตาทอดยาวไปตามถนนกว่า 260 เมตร และบางต้นนั้นมีความสูงกว่า 30 เมตร มีอายุมากกว่า 800 ปี ส่วนใหญ่เป็นต้นเบาบับจากสายพันธุ์ Adansonia grandidieri ซึ่งมีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ โดย 6 ใน 8 อยู่ในมาดากัสการ์ และทุกส่วนของต้นเบาบับไม่ว่าจะเป็น ใบ ราก ผล เปลือก สามารถนำมาใช้ประโยชน์และเป็นยาได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะน้ำมันสกัดจากเมล็ดที่อุดมด้วยวิตามิน นิยมนำมาผสมในครีมบำรุงผิว และเครื่องสำอาง เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการทั้งใน EU และสหรัฐอเมริกาจนได้รับสมญานามว่า Tree of Life หรือต้นไม้แห่งชีวิต
• 17.45 น. ชมพระอาทิตย์ตก (sunset) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทัศนียภาพที่สวยงามอย่างยิ่งของผืนป่าเบาบับแห่งนี้ ได้เวลานำท่านกลับสู่โรงแรมที่พัก ณ เมืองโมรอนดาวา
• รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรม Palissandre Cote Ouest Hotel

ที่พักกลางป่าแล้งคิรินดี

ต้นเบาบับจากสายพันธุ์ Adansonia grandidieri พบได้ที่มาดากัสการ์เท่านั้น

31 กรกฏาคม พ.ศ.2566 วันที่ 5 ป่าแล้งคิรินดี (Kirindy Dry Forest)

• ***ในกรณีที่ท่านต้องการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Avenue of Baobab จะต้องออกเดินทางจากที่พักเวลาประมาณ 04.30 น. และชมพระอาทิตย์ขึ้นช่วงเวลา 06.18 น. พร้อมรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะดำเนินการไปยังตามแผนเดิมที่ได้วางแผนไว้ แจ้งไกด์ท้องถิ่นหน้างานได้อีกครั้ง***
• หรือกรณีที่ไม่ชมพระอาทิตย์ขึ้น 07.00 – 07.30 เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.30 น. เดินทางเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่นมุ่งหน้าสู่ ป่าแล้งคิรินดี (Kirindy Dry Forest) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ระหว่างทางท่านจะผ่านหมู่บ้านชาวมาลากาซี (Malagasy) ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และท่านจะได้เริ่มเห็นต้นเบาบับที่เริ่มให้เห็นได้ในระยะสายตาอย่างสวยงาม
• ***พาหนะใช้เป็น 4WD***
• รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารภายใน Kirindy Reserve
• บ่าย นำท่านเดินทางสู่ ป่าแร้งคิรินดี (Kirindy Dry Forest) อีกครั้ง ที่นี่คือหนึ่งในระบบนิเวศน์ที่มีความแปลกประหลาดมาก ซึ่งมีความแตกต่างจากป่าฝนที่อุทยานแห่งชาติฝั่งตะวันออก เนื่องจากเป็นป่าที่มีต้นไม้และหญ้าแห้งขึ้นปกคลุมจนได้สมญานามว่า “ป่าแล้ง” โดยป่าแห่งนี้ยังคงเป็นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะ Fossa (cryptoprocta ferox) สัตว์นักล่าประจำถิ่นที่สามารถพบได้ที่มาดากัสการ์เท่านั้น หรือ ลีเมอร์บางสายพันธุ์ที่ต้องอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในป่าแล้งเท่านั้น เช่น Sifaka, Common brown lemur นอกจากนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิดที่มีรูปร่างแปลกตา  อิสระให้ท่านได้เก็บภาพสัตว์ป่านานาพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ ณ ป่าแล้งแห่งนี้ (ใช้ระยะเวลาทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง)
• นำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ ต้นเบาบับรักกัน (Baobab Amoureux) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Baobab lover ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก และ Sacred Baobab ที่โด่งดัง
• นำท่านเดินทางกลับเมืองโมรอนดาวา ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
• ค่ำ นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม Palissandre Cote Ouest Hotel
• รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก

Sifakas พบได้ที่ป่าแล้งคิรินดี

ถนนแห่งต้นเบาบับ (Avenue of the Baobabs)

ก่อนพระอาทิตย์ตก ถนนแห่งต้นเบาบับ (Avenue of the Baobabs)

ช่วงเวลาที่แสนโรแมนติค

1 สิงหาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 6 : โมรอนดาวา (Morondava) – อันสิลาเบ (Antsirabe)

• 06.00 – 06.30 น. รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 06.30 น. เดินทางสู่เมือง อันต์สิราเบ (Antsirabe) ระยะทาง 485 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 11 – 12 ชั่วโมง ***พาหนะใช้เป็น Toyota Coaster ขนาด 15 ที่นั่ง*** เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดถนนเส้นทางนี้ค่อนข้างอยู่ในสภาพไม่ดี จึงทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าปกติ***
• สัมผัสธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชาวชนบทในแบบแอฟริกา ซึ่งชาวมาลากาซีในชนบท จะมีความเป็นมิตรมาก และนิยมทักทายผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม และเสียงเรียก โดยตลอดการเดินทางท่านจะได้เพลิดเพลินกับเส้นทางอันคดเคี้ยวที่สวยงาม และทัศนียภาพสองข้างทาง ทิวเขาสลับซับซ้อนกับบ้านเรือนของชาวมาลากาซี่แบบดั้งเดิม ท่านจะได้พบเห็นวิถีการดำรงชีวิตของผู้คน ทุ่งนา แม่น้ำ บ้านเรือนที่สร้างจากดินสีน้ำตาลส้ม สีสันการค้าขายสินค้าของหมู่บ้านเล็กๆ แบบตลาดริมถนน การจับจ่ายใช้สอยอาหาร เสื้อผ้า ร้องเท้า พืชผัก ผลไม้ รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ และการเกษตรกรรมต่างๆ
• รับประทานอาหารเที่ยงระหว่างทางที่ ร้าน Princesse Tsiribihina แบบกล่อง เราจะรับประทานบนรถ
• วันนี้จะใช้เวลาในการเดินทางอยู่บนรถค่อนข้างนาน เนื่องจากการจราจรในมาดากัสการ์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ และเป็นถนนเพียง 2 เลนเกือบตลอดช่วง
• 20.00 น. เดินทางถึงเมือง อันสิลาเบ (Antsirabe) นำท่านชมเมืองยังสถานที่น่าสนใจต่างๆ
• อันต์สิราเบ (Antsirabe) เมืองใหญ่อันดับสองของมาดากัสการ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศที่หนาวเย็นในสมัยการขยายอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส เนื่องจากมีความสูงกว่า 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และล้อมรอบด้วย 3 ทะเลสาปที่สวยงาม (Tritriva, Andrnomafana, Andraikiba) ส่งผลให้อันต์สิราเบเป็นเมืองที่มีอากาศเย็นที่สุดในมาดากัสการ์ และในบางช่วงของฤดูหนาวอากาศในเวลากลางคืสามารถลดต่ำได้ถึง 0 องศา (กรกฎาคม 10-20 องศา)
• รับประทานอาหารเย็นภายในที่พัก
• ที่พัก โรงแรม Couleur Café

อันสิลาเบ (Antsirabe)

2 สิงหาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 7 : อันสิลาเบ (Antsirabe) – อันตานานาริโว (Antananarivo)

• 06.30 – 07.30 น. เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.30 – 08.30 น. เที่ยวชมเมืองด้วยการนั่งรถลาก ซึ่งการนั่งรถลากนั้น ถือเป็นพาหนะในชีวิตประจำวัน และเป็นพาหนะหลักในการเดินทางของผู้คนในเมืองนี้ เรียกได้ว่าเมื่อมาถึงเมืองนี้แล้ว “riding is like a must!” นำท่านเพลิดเพลินกับการนั่งรถลากเที่ยวชม โบสถ์ Notre Dame de la Salette, Thermal Bath, สถานีรถไฟที่สร้างจากสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล เป็นผลพวงของการตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กว่า 64 ปี ซึ่งยังคงหลงเหลือให้ได้พบเห็นในปัจจุบัน ผสมผสานกับการใช้ชีวิตในแบบดั้งเดิมของผู้คนในเมืองอันต์สิราเบแห่งนี้
• 09.30 น. เดินทางไปชม ทะเลสาบรูปหัวใจ (Lake Tritriva) 
• ท่องเที่ยวภายในเมือง อันสิลาเบ (Antsirabe)
• 12.30 น. รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้าน Chez Jenny
• 13.30 น. ออกเดินทางกลับสู่ อันตานานาริโว (Antananarivo) ระยะทาง 170 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (การจราจรในมาดากัสการ์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ และเป็นถนนเพียง 2 เลนเกือบตลอดช่วง)
• บ่ายเดินทางถึง อันตานานาริโว (Antananarivo) ในกรณีถ้ามีเวลาเหลือจะพาท่านเที่ยวหมู่บ้านวัฒนธรรมระหว่างทาง
• ที่พัก โรงแรม Radisson Serviced Apartments Antananarivo City Center หรือเทียบเท่า
• รับประทานอาหารเย็น ภายในที่พัก

Lake Tritriva

3 สิงหาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 8 แซงต์ เดอนีส์ (Saint-Denis)

• 08.00 น. เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 09.00 น. นำท่านเที่ยวชมเมืองหลวงอันทานานาริโว พระราชวังราชินี Queen palance (Rova) ที่ทำการรัฐบาล (Prime Minister’s Rainilaiarivony’s Palace) และทัศนียภาพของเมืองหลวงพร้อมกับ ทะเลสาบรูปหัวใจ (Anosy) จากบนยอดเขาซึ่งสามารถมองเห็นเมืองอันทานานาริโวได้ทั่วทั้งเมือง
• จากนั้นนำท่านเที่ยวชม ตลาดสินค้าหัตถกรรม (Craft market) หรือที่มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นคือ ตลาด La Digue ซึ่งท่านจะได้พบกับสินค้าหัตถกรรมหลากหลายชนิดจากฝีมือของชาวมาลากาซีโดยแท้จริง แน่นอนว่าสินค้าทุกอย่างภายในตลาดแห่งนี้สามารถต่อรองราคาได้อย่างสนุกสนานไปกับสีสรรแห่งการใช้ชีวิตของพวกเขา
• รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้าน Relais des Plateaux
• 14.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบิน เพื่อเช็คอิน ณ สนามบินอิวาโต สู่ มอริเชียส (Mauritius)
• 17.00 น. ออกเดินทางสู่ ประเทศมอริเชียส ด้วยสายการบิน Air Mauritius ไฟลต์บิน MK289 (เวลาบิน 1 ชั่วโมง 45 นาที)
• 19.45 น. เดินทางถึง สนามบินมอริเชียส เซอร์ ซีวูซากูร์ รามกูลัม ประเทศมอริเชียส
• เข้าสู่ โรงแรมที่พัก Intercontinental Mauritius Balaclava Fort
• รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก

พระราชวังราชินี Queen palance (Rova)

ความสวยงามของเกาะมอริเชียส

4 สิงหาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 9 พอร์ตหลุยส์ (Port Louis)

• รับประทานอาหารเช้าภายในที่พัก หลังจากนั้น กิจกรรมจะสามารถเลือกได้ 2 แบบคือ

แบบที่ 1 (Port Louis)

• นำท่านเดินทางสู่เมือง พอร์ตหลุยส์ (Port Louis) เมืองหลวงของสาธารณรัฐมอริเชียส ดินแดนสวรรค์นอกชายฝั่งแอฟริกากลางมหาสมุทรอินเดีย โดดเด่นด้วยหาดทรายขาวน้ำทะเลสีฟ้าใส ธรรมชาติป่าเขาสีเขียวขจี และบรรยากาศสุดโรแมนติก ติดอันดับเกาะสวยของโลก ระยะทางจากสนามบินสู่เมืองพอร์ตหลุยส์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ออกเดินทางท่องเที่ยวในเขตเมือง พอร์ตหลุยส์ (Port Louis)
• ป้อมปราการอะดิเลด (Citadel of Adelaide) เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1834–1840 มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันเมืองและต่อสู้จากการรุกรานของข้าศึกในอดีต โดยป้อมปราการแห่งนี้เป็นจุดที่สามารถถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ของเมืองได้ดีที่สุด
• คอว์แดน วอเตอร์ฟร้อนท์ (Caudan waterfront) เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าร่วมสมัยริมทะเล

แบบที่ 2 (Swim with Dolphin and Whale watching)

• 05.30 น. ออกเดินทางออกจากโรงแรม มุ่งหน้าสู่ท่าเรือ
• 06.45 น. ถึงท่าเรือ ขึ้นเรือสปีดโบ๊ทที่จุผู้โดยสารได้ไม่เกิน 8 คน พร้อมกัปตันเรือ 2 คน และออกเดินทางด้วยเรือเร็วไปตามชายฝั่งแบล็คริเวอร์ของมอริเชียส พบกับ โลมา และ วาฬสเปิร์ม ที่จะเข้ามาหากินในทะเลบริเวณ พร้อมกับกิจกรรมว่ายน้ำ (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
• กิจกรรมจะใช้เวลาช่วง 06.45 – 09.30 น.
• 09.50 น. นำท่านแวะที่ Apartment ระหว่างทางซึ่งจะมีห้องอาบน้ำให้ 2 ห้อง สำหรับอาบน้ำและแต่งตัว
• 11.00 น. ออกเดินทางสู่ น้ำตกชามาเรล (Chamarel Falls)
• 11.30 น. เดินทางถึง น้ำ น้ำตกชามาเรล (Chamarel Falls) อันโด่งดังแห่งเกาะมอริเชียส เพื่อสัมผัสความงดงามของน้ำตกที่มีความสูงกว่า 90 เมตร ไหลดิ่งลงสู่หุบเหว พร้อมกับชม เนินทรายเจ็ดสี (Seven Colored Earths) ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของหินลาวา ซึ่งเป็นหินบะซอลต์ กลายเป็นโคลนและได้เปลี่ยนมาเป็นทรายในที่สุด ซึ่ง 7 สีนั้น ประกอบไปด้วย สีแดง น้ำตาล ม่วงเข้ม เขียว น้ำเงิน ม่วงอ่อน เหลือง จึงได้รับการขนานนามว่า เนินทรายเจ็ดสี อิสระให้ท่านได้เก็บภาพความอัศจรรย์ทางธรรมชาติอีกแห่งของมอริเชียส
• 12.45 ออกเดินทางสู่ร้านอาหาร รับประทานอาหารเที่ยงที่ Chez Ruben Restaurant
• 14.20 น. เดินทางสู่ Black River Gorges National Park นำท่านไปยังจุดชมวิวที่จากบนยอดเขาที่มองเห็นบรรยากาศของธรรมชาติของเกาะมอริเชียสจนถึงทะเลเบื้องหน้า
• บ่าย กิจกรรมขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อชม Underwater Waterfall โดยเฮลิคอปเตอร์จะโดยสารได้ครั้งละ 4 ท่าน โดยจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที
• ***กิจกรรมช่วงบ่าย จะขึ้นอยู่กับตารางบินของเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งขึ้นกับสภาพอากาศ โดยทางไกด์จะเป็นผู้แจ้ง***
• เย็น เข้าสู่โรงแรมที่พัก Intercontinental Mauritius Balaclava Fort
• รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก

เนินทรายเจ็ดสี (Seven Colored Earths)

5 สิงหาคม พ.ศ. 2566 วันที่ 10 แซงต์ เดอนีส์ (Saint-Denis)

• ช่วงเช้าให้ท่านได้ใช้เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยในที่พัก
• 07.45 น. เช็คเอาท์ออกเดินทางออกจากโรงแรม
• 10.00 น. เดินทางถึง La Vanille Nature Park ชมเต่ายักษ์ที่มีชื่อเสียงแห่งมอริเชียส สายพันธุ์ Aldabra giant Tortoise ซึ่งเป็นเต่ามีขนาดใหญ่มากและมีอายุยืนกว่า 100 ปี ท่านจะได้สัมผัสกับเต่ายักษ์รุ่นอายุสงครามโลกได้อย่างใกล้ชิด
  กิจกรรมขึ้นอยู่กับเวลาอีกครั้ง
• 12.00 น. เดินทางสู่ สนามบิน สนามบินมอริเชียส เซอร์ ซีวูซากูร์ รามกูลัม
• รับประทานอาหารเที่ยงแบบกล่อง
• 12.30 น. เดินทางถึง สนามบิน สนามบินมอริเชียส เซอร์ ซีวูซากูร์ รามกูลัม
• 15.15 น. ออกเดินทางจากสนามบินมอริเชียส สู่ สนามบินโรลอง การ์รอส เกาะเรอูเนียง ด้วยไฟล์บิน UU105 สายการบิน Air Austral (ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาที)
• 16.00 น. เดินทางถึง สนามบินโรลอง การ์รอส (Roland Garros) เกาะเรอูเนียง
• นำท่านเดินทางสู่ เมืองแซงต์ เดอนีส์ (Saint–Denis) เมืองหลวงของเกาะเรอูนียง (Reunion)  โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของเกาะ เพื่อชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน สถาปัตยกรรมรูปแบบของชาวครีโอล โบสถ์คาทอลิคและพิพิธภัณฑ์  จากนั้นนำท่านไปยังจุดชมวิวยามเย็นลาบาราชัวส์ เพื่อสัมผัสความสวยงามของเกาะเรอูนียง และเพื่อให้ท่านได้ผ่อนคลายจากการเดินทางบนเครื่องบินที่ยาวนาน
• ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ผ่าน ถนนเลียบชายฝั่งที่สวยงาม (Route du littoral) จากการขนาบข้างฟากหนึ่งของถนนด้วยท้องทะเลสีฟ้าสดใส และอีกฝากหนึ่งด้วยหินผาขนาดมหึมาตลอดเส้นทาง (ระยะทาง 45 กม.)
• อภิมหาโปรเจคแห่งเกาะเรอูนิยง (La nouvelle route du littoral NRL) คือการสร้างทางด่วนบนมหาสมุทรอินเดียเลาะเลียบไปกับถนนบนเกาะ เนื่องจากการจราจรในฝั่งด้านเหนือของเกาะเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ๆที่อยู่ติดกัน ไม่ว่าจะเป็น Saint-Denis หรือ Saint-Paul ทุกๆวันมีรถวิ่งผ่านไปมาจำนวนหลายหมื่นคัน แต่ปัญหาคือเนื่องจากถนนเส้นเดิมสร้างอยู่บนพื้นที่เลียบกับหน้าผาสูงทำให้เกิดมีการเกิดดินถล่มหรือเส้นทางผิดอยู่บ่อยครั้ง และการเกิดปัญหาแต่ละครั้งสร้างปัญหาผลกระทบอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลกลางที่ปารีสจึงทุ่มงบมามหาศาลลงมายังเกาะเรอูนิยง ที่ถือว่าเป็นจังหวัดโพ้นทะเลที่อยู่ไกลที่สุด เพื่อสร้างถนนเลียบเกาะที่ปักเสาลงไปยังพื้นมหาสมุทรความยาวกว่า 12.5 กิโลเมตร เพื่ออ้อมเกาะในช่วงที่เกิดปัญหามากที่สุด ด้วยงบการก่อสร้าง 1.66 พันล้านยูโร ปัจจุบันตอนนี้ถึงแม้การก่อสร้างจะยังไม่สำเร็จสมบูรณ์แต่เราสามารถเห็นโครงสร้างทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างชัดเจนครับ
• ที่พัก โรงแรม Hotel St.Alexis หรือเทียบเท่า
• รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก

La Vanille Nature Park

6 สิงหาคม พ.ศ.2566 วันที่ 11 ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise)

• เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.00 – 09.00 น.  กิจกรรมเพิ่มเติม การขึ้นสู่เฮลิคอปเตอร์ (Helicopter tour) ท่านจะมีได้ชมทัศนียภาพของเกาะเรอูนียงจากมุมสูง ซึ่งหลายๆจุดเป็นจุดที่รถไม่สามารถเข้าถึงได้ทางถนน และสามารถมองเห็นได้จากมุมมองด้านบนเท่านั้น เฮลิคอปเตอร์จะนำพาท่านไปยังจุดสำคัญทั่วทั้งเกาะภายในระยะเวลา 50 นาที ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่บนฟ้า ท่านจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของหุบเขากลางเกาะที่เป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่ (Three Cirques) และมีหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ภายในเป็นภาพที่ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงสุดยอด น้ำตก Trou de Fer ที่เป็นภาพติดตาของเกาะเรอูนียงไปทั่วโลก และปิดท้ายด้วยการท่อง ปากปล่องภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise) อีกครั้ง
• ***ทั้งนี้ กิจกรรมเฮลิคอปเตอร์ เป็นกิจกรรมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นสำคัญ ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ เส้นทางที่เฮลิคอปเตอร์จะเดินทางไปได้ จะรู้ได้ก่อนเดินทางเท่านั้นโดยนักบินจะเป็นผู้แจ้งก่อนเดินทางเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นการไปทั้งเกาะหรือเพียงบางส่วนของเกาะเท่านั้นครับ โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสรุปแน่นอนเมื่อทราบเส้นทางบินที่ชัดเจนในวันเดินทาง***
• ***ค่าใช้จ่าย Helicopter จะอยู่ที่เส้นทางในวันนั้นว่าเส้นทางใดเปิด จะเริ่มต้นที่ 125 – 350 euro แล้วแต่เส้นทางที่สามารถไปได้ในวันนั้นๆ***
• สำหรับท่านที่ไม่ได้ขึ้นกิจกรรมเฮลิคอปเตอร์ ท่านสามารถพักผ่อนภายในโรงแรม จนกระทั่งเช็คเอาท์และกลับมารวมกลุ่มพร้อมเดินทางกันในช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.
• อีกแผนการเดินทางกรณีไม่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ คือการเดินทางไปยังจุดชมวิว Belvédère du Maïdo ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะ
• นำท่านสู่ ไร่วนิลา Vanilla Plantation in Saint Andre ซึ่งเป็นสวนวนิลาที่เก่าแก่ที่สุด และได้สืบทอดกรรมวิธีจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 4 ยุค ซึ่งวนิลานั้นถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของเกาะรียูเนียนให้ท่านได้เรียนรู้กระบวนการปลูก เก็บเกี่ยว และผลิตวนิลา ให้อิสระท่านได้เก็บภาพ และสัมผัสความงามของไร่วนิลา
• อาหารเที่ยง ที่ร้านอาหาร RELAIS DES CIMES
• นำท่านเดินทางสู่ เฮลล์เบิร์ก (Hell Bourg) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งซาลาซี เมืองแห่งนี้อยู่ใจกลางเกาะรียูเนียน แวดล้อมด้วยไปหุบเขาสวยงามมากมาย โดยเฉพาะ ภูเขาไฟเซอร์ก เดอ ซาลาซี (Cirque de Salazie) ภายในหุบเขาแห่งนี้ยังมีหมู่บ้านสไตล์คลีโอล (Creole) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังซ่อนตัวอยู่ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหมู่บ้านที่น่ารักสวยงาม และมีเสน่ห์ที่สุด ในกลุ่มเขตการปกครองโพ้นทะเลของฝรั่งเศส (The most beautiful villages in overseas France) อีกทั้งยังได้รับการยกย่องเป็นบริเวณพื้นที่มรดกโลกจากองค์การยูเนสโก โดยในอดีตเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสปา มีผืนป่า ภูเขา สายน้ำลำธารที่อุดมสมบูรณ์ และมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก โดยบริเวณหมู่บ้านแห่งนี้จะมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างเย็นกว่าแถบชายฝั่งทะเล เนื่องจากตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 1,344 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
• ให้ท่านได้ชมวิถีชีวิตของชาวคลีโอล และเก็บภาพความสวยงามของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ในแบบศิลปะฝรั่งเศสลูกผสม สไตล์คลีโอลที่รายล้อมด้วยอ้อมกอดของภูเขา
• ที่พัก โรงแรม Sarana Hôtel & Spa (ระดับ 4 ดาว)
• รับประทานอาหารเย็นภายในโรงแรม

ปากปล่องภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise)

น้ำตก Trou de Fer

7 สิงหาคม พ.ศ.2566 วันที่ 12 ทุ่ง แปลน เด ซาบล์ส (Plaine des Sables)

• รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
• 08.00 น. โดยประมาณ นำท่านออกเดินทางออกจากหุบเขา ออกเดินทางสู่ ทุ่ง แปลน เด ซาบล์ส (Plaine des Sables) ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง
• ชมจุดชมวิว Belvédère de Bois Court
• รับประทานอาหารเที่ยง ร้าน Le Panoramic Restaurant
• จากนั้นทำท่านเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟ  (Citée du Volcan)
• ให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะต้องตื่นกันแต่เช้า
• ที่พัก โรงแรม Hôtel L’Ecrin
• ***ที่พักในเมืองนี้มีตัวเลือกจำกัด โรงแรมนี้เป็นโรงแรมมาตรฐานของเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่บรรยากาศจะไม่ได้เหมือนรีสอร์ทใหญ่ ตามมาตรฐานยุโรปจะคือ 3 ดาว***
• รับประทานอาหารเย็นภายในโรงแรม

เฮลล์เบิร์ก (Hell Bourg)

8 สิงหาคม พ.ศ.2566 วันที่ 13 ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise) – Cilaos

• เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• 07.00 น. นำท่านเดินทางสู่ ทุ่ง แปลน เด ซาบล์ส (Plaine des Sables) (ระยะทาง 25 กม.) เพื่อชมหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกที่สวยงามและอัศจรรย์ยิ่ง โดยลัดเลาะผ่านหมู่บ้านเล็กๆบน ที่ราบสูง Plaine des cafres ที่รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าปศุสัตว์อันเขียวขจี เพื่อสัมผัสความเป็นชนบทบนเกาะแห่งภูเขาไฟ โดยท่านจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากความเขียวขจีของทุ่งหญ้าและหุบเขา จนถึงความแห้งแล้งเป็นผงกรวดของลาวาเสมือนผิวดวงจันทร์
• นำท่านแวะจุดชมวิว เพื่อถ่ายรูปอันน่าประทับใจ และยิ่งใหญ่ของเทือกเขาที่สลับซับซ้อนตระการตา Riviere des Remparts จากนั้นมุ่งหน้าสู่ Pas de Bellecombe
• ชมความยิ่งใหญ่ของ ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise) ภูเขาไฟรูปโล่ หรือยอดเขาแห่งเตาหลอม ที่ตั้งอยู่บนปลายเกาะเรอูนียงทางตะวันออก มีความสูง 2,632 เมตร ซึ่งบางครั้งเรียกว่าเป็นพี่น้องกับภูเขาไฟเกาะฮาวาย เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันทางด้านภูมิอากาศและธรรมชาติ ภูเขาไฟ ปีตงเดอลาฟูร์แนซนั้น ถือเป็นจุดกำเนิดของเกาะเมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน  และยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเป็นมรดกโลก
• หลังจากนั้นได้เวลาอันควรนำท่านกลับสู่พื้นราบและเดินทางสู่เมือง Le Tampon (ระยะทาง 35 กม.)
• กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น Sud Hôtel
• เดินทางสู่เมือง Cilaos ศูนย์กลางในการท่องเที่ยวของหุบเขาในเรอูนียง (ระยะทาง 52 กม.) โดยถนนจะเป็นเส้นทางวิ่งในภูเขา จำนวนทั้งหมดประมาณ 400 โค้ง
• ที่พัก โรงแรม Hotel le Vieux Cep (ระดับ 4 ดาว)
• รับประทานอาหารเย็นภายในโรงแรม

ภูเขาไฟปีตงเดอลาฟูร์แนซ (Piton de la Fournaise)

9 สิงหาคม พ.ศ.2566 วันที่ 14 เมืองแซงต์ เดอนีส์ (Saint-Denis)

• เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
• ให้ท่านได้ท่องเที่ยวภายในเมือง
• 09.00 น. ออกเดินทางออกจาก Cilaos กลับสู่เส้นทางริมชายฝั่งทะเล เมือง Saint-Pierre (ระยะทางประมาณ 45 กม.)
• นำท่านแวะ สวนพฤกษศาสตร์ Domain du caf grille ที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะ เพื่อชมธรรมชาติ พร้อมกับการเรียนรู้ระบบนิเวศน์ของเกาะแห่งแอฟริกาตะวันออก ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับความสวยงามของพันธุ์ไม้ และดอกไม้ที่แปลกตามากมาย ซึ่งได้รวบรวมไว้ ณ สวนแห่งนี้
• จากนั้นนำท่านพบกับบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวเรอูนียง ซึ่งมีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 300 ปี กาแฟ Bourbon Pointu เป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งเกาะเรอูนียง (เดิมเกาะเรอูนียง มีชื่อว่าเกาะ Bourbon) ซึ่งกาแฟ Bourbon Pointu ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1711 โดยปัจจุบันยังคงใช้วิธีการเก็บเกี่ยว และผลิตแบบดั้งเดิมอยู่ จึงทำให้มีกลิ่นหอม และได้รสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร จนทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญมากมาย (One of the finest in the world by connoisseurs)
• กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น VILLA DELSILE
• นำท่านเดินทางกลับสู่ เมืองแซงต์ เดอนีส์ (Saint–Denis) นำท่านเที่ยวชมสถานที่น่าสนใจต่างๆภายในเมือง เช่น โบสถ์กลางประจำเมือง (Cathédrale de St-Denis) หรือ Hôtel de Ville de Saint-Denis (ระยะทางประมาณ 78 กม.)
• 15.00 น. (โดยประมาณ) ให้ท่านได้มีอิสระในการเลือกซื้อสินค้าที่บนถนนสายช็อปปิ้งชื่อดังของ เมืองแซงต์ เดอนีส์ (Saint–Denis) ที่ ถนน Rue du Maréchal Leclerc รวมถึงการเลือกซื้อสินค้ายังตลาดกลาง Central Market โดยถนนเส้นนี้จะเป็นถนนคนเดินที่ไม่อนุญาตให้ยานพาหนะเข้ามาได้ ท่านจะได้เลือกซื้อสินค้าอย่างสะดวกสบาย ณ สถานที่แห่งนี้
• 18.00 น. เดินทางถึง สนามบินโรลอง การ์รอส  (Roland Garros)
• 20.00 น. ออกเดินทางจากเกาะเรอูเนียง กลับสู่กรุงเทพมหานคร ด้วยไฟล์บิน UU887 สายการบิน Air Austral (ใช้เวลาบินประมาณ 7.35 ชั่วโมง) สายการบินบริการอาหารค่ำบนเครื่องบิน)

เมืองแซงต์ เดอนีส์ (Saint-Denis)

10 สิงหาคม พ.ศ.2566 วันที่ 15 : สิ้นสุด ทัวร์มาดากัสการ์

• 06.55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
• หมายเหตุ : หากกรณีเกิดเหตุจำเป็น หรือสุดวิสัย เช่น การล่าช้าของสายการบิน อาจมีผลต่อการปรับโปรแกรม ทั้งนี้ทางเราจะคำนึงถึง และรักษาผลประโยชน์ของลูกทัวร์ให้มากที่สุด