เส้นทางรถไฟ ทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian) การเดินทางแห่งความฝัน การเดินทางความยาวเฉียด 1 ใน 4 ของเส้นรอบวงโลก ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมาให้ได้!
อาจถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกแห่งของมนุษยชาติก็ว่าได้ ถ้ามองย้อนกลับไปร้อยกว่าปีก่อนกับเทคโนโลยีที่มีอย่างจำกัด แรงงานนับหมื่นต้องสละชีวิตไปการสร้างทางเหล็กตัดผ่านพื้นที่ทุรกันดารและสภาพอากาศที่โหดร้ายของไซบีเรียเพื่อเชื่อมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวและขยายอำนาจทางการเมืองในเวลาเดียวกันก็นับว่าสิ่งนี้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างไปแล้ว ปัจจุบันเส้นทางนี้แตกสาขาย่อยออกไปมากมาย โดยเฉพาะเส้นทางคู่แฝดอย่าง ทรานส์มองโกเลีย ที่ตัดผ่านถึงสามประเทศแต่ความยาวของเส้นทางก็ไม่เท่าทรานส์ไซบีเรียต้นตำรับที่ทอดยาวในประเทศเดียว พิสูจน์ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของแผ่นดินรัสเซียและท้าทายขาเที่ยวที่ต้องการท้าทายตัวเองและต้องคอยปรับนาฬิกาไปตาม Time zone ที่ต่างกัน 8 เขต
ทรานส์ไซบีเรีย ยาวขนาดไหน ?
เส้นรอบวงของโลกใบนี้มีความยาวอยู่ที่ราวสี่หมื่นกิโลเมตร ส่วนทางรถไฟ ทรานส์ไซบีเรีย นั้นอยู่ที่ราวหนึ่งหมื่น ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าทางรถไฟสายนี้เท่ากับหนึ่งในสี่ของเส้นรอบวงโลก ในเชิงประวัติศาสตร์ ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเป็นปัจจัยหลักประการหนึ่งที่เอื้อให้รัสเซียแผ่อิทธิพลไปยังภูมิภาคที่ทางรถไฟตัดผ่านนำพาให้รัสเซียก้าวสู่ความเป็นมหาอำนาจ
ขอแนะนำตัวผู้เขียน
ผมชื่อ ปาล์ม ครับ พงศ์พล ชื่นเจริญ ผมเป็นอดีตรองแชมป์แฟนพันธุ์แท้โซเวียต ผมไปทรานส์ไซบีเรียมาหลายรอบมาก เรียกได้ว่าเมืองหลักๆหลายเมืองตลอดเส้นทางรถไฟผมผ่านมาแทบจะหมดแล้ว บางเมืองผ่านหลายรอบด้วยครับ รัสเซียเป็นประเทศที่ผมรักและชอบที่จะเรียนรู้มัน และอยากจะไปอีกหลายๆเส้นทางที่ซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย วันนี้อยากเอาเรื่องราวของเส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียมาเล่าสู่กันฟังก่อนครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันไปได้เลยครับ
วลาดิวอสตอก (Vladivostok)
ผู้เขียนแปลเป็นภาษาไทย (ไม่แท้) แบบสละสลวยได้ว่า “บูรพนครินทร์” หรือ ผู้เป็นใหญ่ในแดนตะวันออก คือเมืองปลายทางที่เป็นจุดสิ้นสุดทางรถไฟกิโลเมตรที่ 9288 และเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคมหาสมุทรแปซิฟิกจุดเชื่อมต่อเส้นทางขนส่งสินค้าจากญี่ปุ่น เกาหลี จีนเข้าสู่รัสเซีย
ตามความคิดของผู้เขียน วลาดิวอสตอกคือซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย ดูจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา มีรถรางวิ่งขึ้นลงเนิน ถนนแต่ละบล็อกเป็นขั้นบันไดและมีอ่าวเว้าเข้ามาอยู่ตรงกลางเมือง แถมในปี 2012 รัฐบาลได้สร้างสะพาน Golden Bridge ข้ามอ่าว Golden Horn เลยพาลให้นึกถึงเมืองซานฟราน ฯ ที่มีสะพาน Golden Gate อย่างเลี่ยงไม่ได้ ตึกรามบ้านช่องเป็นแบบ Neo-classic แบบเมืองในยุโรปอื่น ๆ ทั้งเมือง ดูแล้วเหมือนไม่ใช่รัสเซีย เพราะเมืองนี้เพิ่งสร้างได้ร้อยกว่าปี
ริมอ่าวเว้า Golden Horn มีเรือดำน้ำ S-56 ที่ปลดประจำการตั้งอยู่บนถนนริมฝั่งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ใกล้ ๆ กันมีซุ้มประตูรับเสด็จซาเรวิชนิโคลัสที่เสด็จมาเปิดเส้นทางรถไฟสายนี้ ไฮไลต์คือย่านถนนสเว้ตลาน่าที่เป็นศูนย์รวมของห้าง ร้านและตลาดต่าง ๆ หากโชคดีบางวันจะได้เจอคล้าย ๆ ตลาดเทศบาลที่พ่อค้าแม่ค้าเอาของป่ามาขาย ยังมีฝั่งทะเลญี่ปุ่นที่มีย่านถนนอารบัต (ชื่อเดียวกับถนนอารบัตในมอสโก) และถนนเลียบฝั่ง (Promenade) ถนนคนเดินที่ลัดเลาะไปกับทะเลญี่ปุ่นและมีน้ำพุดนตรีชวนให้เพลิดเพลินจำเริญใจ
ฆาบารอฟสก์ (Khabarovsk)
เมืองหลักอีกเมืองของภูมิภาคตะวันออกไกล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอามูร์ เส้นพรมแดนธรรมชาติระหว่างรัสเซีย-จีน เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพรัสเซียแห่งภูมิภาคตะวันออกไกลแถมยังเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดน เมืองนี้ตั้งชื่อตามทหารรับจ้างผู้บุกเบิกภูมิภาคตะวันออกไกลและเมืองนี้คนแรก ๆ คือเยโรเฟย์ ฆาบารอฟ (Yerofey Khabarov) โดยอนุสาวรีย์ของเขาตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเลย
ตัวเมืองสถาปัตยกรรมจะคล้าย ๆ กับวลาดิวอสตอกเพราะเมืองสร้างมาพร้อม ๆ กัน ที่ริมแม่น้ำมีบริการเรือล่องชมแม่น้ำอามูร์ซึ่งมีความกว้างมาก ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ถือว่าไปรับลมเล่น ๆ
อูลานอูแด (Ulan-ude)
เมืองชุมทางรถไฟสาย ทรานส์ไซบีเรีย และ ทรานส์มองโกเลีย เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐปกครองตนเองบูเรียเทียของรัสเซีย ชื่อเมืองฟังดูไม่ใช่รัสเซีย เพราะตั้งชื่อเมืองเป็นภาษาบูเรี้ยตซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของชาวมองโกล พอรถไฟแล่นเข้าเมืองนี้จะเริ่มรู้สึกว่าหน้าตาของคนเมืองนี้ส่วนมากจะเป็นตี๋ ๆ หมวย ๆ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็คือคนรัสเซียเชื้อสายบูเรี้ยต ทำให้ผู้เขียนประจักษ์ถึงสังคมพหุวัฒนธรรมของรัสเซียได้ชัดเจนขึ้น
เมืองนี้มีอนุสาวรีย์ศีรษะเลนินหนึ่งเดียวและใหญ่ที่สุดของโลกบนจัตุรัสเลนินใจกลางเมือง ชานเมืองมีวัดอิโวลกา วัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย เป็นพุทธศาสนาแบบมหายานสายธิเบต ในวัดยังมีพระลามะจำวัดและทำพิธีสวดไม่ต่างจากพระลามะทิเบตอื่น ๆ
อิร์คุตสก์ (Irkutsk)
เมืองหลวงแห่งไซบีเรียตะวันออก เคยได้รับฉายาว่าปารีสแห่งตะวันออกจากวีรกรรมของกบฎดีเซมบริสต์ที่รับแนวคิดจากฝรั่งเศสและพยายามปฏิรูปการเมืองในระบอบซาร์เป็นเหตุให้ซาร์เนรเทศคนเหล่านี้ไปยังดินแดนห่างไกลแถบนี้ อิร์คุตสก์เป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบไบคาลมากที่สุด
นั่งรถออกไปราวชั่วโมงเศษไปยังตำบลลิสต์เวียนกาก็จะเจอทะเลสาบไบคาลแล้ว ที่ลิสต์เวียนกามีอะไรให้ทำหลายอย่าง ทั้งขึ้นชมวิวบนยอดเขาเชียร์สกี้ เข้าดูพิพิธภัณฑ์ไบคาลที่จะได้เห็นน้องอุ๋ง ๆ ว่ายยั่วผู้มาเยือน แวะดูพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งตัลซึยที่เป็นศูนย์รวบรวมบ้าน อาคารไม้ต่าง ๆ ในไซบีเรียที่อายุกว่าร้อยปี ในฤดูที่ไม่ใช่หน้าหนาว การรถไฟเขาก็เปิดทัวร์ทางรถไฟสายเก่าที่ใช้รถจักรไอน้ำวิ่งชมบรรยากาศบนรางเส้นเก่าที่เลาะเลียบไบคาลไปกินลมชมวิว
ถ้ามีเวลาอีกก็ควรไปเกาะโอลคอน จุดท่องเที่ยวสำคัญของไบคาล นั่งรถออกไปราววันนึง แต่ละฤดูกาลก็สวยต่างกันไป หน้าหนาวก็จะขาวโพลน มีก้อนน้ำแข็งสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเล่นได้ ขับรถให้คนขับดริ๊ฟรถบนน้ำแข็งเล่น ๆ ก็ได้ หน้าร้อนก็จะเขียวขจี ถ้าโชคดีจะได้เห็นน้องอุ๋ง ๆ มานอนอาบแดด หน้าใบไม้ร่วงต้นไม้ใบหญ้าก็จะผลัดใบเป็นสีทองไปทั่วบริเวณ
กราสนายาร์สก์ (Krasnoyarsk)
เมืองหลวงทางอุตสาหกรรมของไซบีเรียอายุเกือบ 400 ปี ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเยนิเซย์ที่ติดโผหนึ่งในแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก อันโตน เชคอฟนักเขียนมือหนึ่งของวรรณกรรมรัสเซียถึงกับยกให้กราสโนยาร์สก์เป็นเมืองที่สวยที่สุดในไซบีเรียจาก landscape ทางธรรมชาติ ซึ่งก็น่าจะจริงเพราะเมืองมีลักษณะเป็นเนินสูงขึ้นไปจากริมฝั่งแม่น้ำ
กลางเมืองมีเนินสูงมีโบสถ์เล็ก ๆ อยู่ด้านบนซึ่งจะพบเห็นชาวเมืองขึ้นมาสักการะและมากินลมชมวิวได้โดยทั่วไปบนจุดสูงสุดของเมืองแห่งนี้
นาวาซีบีร์สก์ (Novosibirsk)
เมืองหลวงแห่งไซบีเรีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามรองจากมอสโกและเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นจุดกึ่งกลางของประเทศรัสเซีย (สมัยจักรวรรดิและสหภาพโซเวียต) ตั้งอยู่บนแม่น้ำอ็อบ และยังเป็นชุมทางรถไฟสายบีสก์ในอัลไตและทางรถไฟสายเอเชียกลาง
โนโวซีบีร์สก์ถือเป็นเมืองใหม่ อายุร้อยกว่าปีเท่านั้น จะเห็นได้จากบรรดาตึกรามบ้านช่องจะเป็น Neo-classic มีความเป็นยุโรป โดยเฉพาะโรงละครและบัลเลต์แห่งไซบีเรียเป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ใหญ่กว่าแม้กระทั่งโรงละครบัลโชยในมอสโก ที่สำคัญที่นี่มีรถไฟใต้ดินเป็นของตัวเอง ส่วนมากแต่ละสถานีจะตกแต่งด้วยกระจกสีและรูปปั้นบุคคลสำคัญต่าง ๆ ที่สำคัญค่าโดยสารถูกมากแค่ 22 รูเบิ้ล (10บาท)
และสำหรับเมืองโนโวซีบีร์สก์ นั้น ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมืองนี้คือประตูผ่านแดนสู่เทือกเขาอัลไตฝั่งรัสเซียครับ ทุกท่านสามารถแวะไปอ่านจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวอัลไตได้ที่นี่ก่อน ก่อนจะไปสู่เมืองถัดไปครับ
เยคาเทรินเบิร์ก (Yekaterinburg)
ถ้ามาถึง เยคาเทรินเบิร์ก ก็แปลว่า เรามาถึงจุดที่เรียกว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟ เพราะที่นี่คือจุดแบ่งทวีป!
เป็นเมืองที่อยู่บนเส้นแบ่งทวีปเอเชียและยุโรปโดยมีแนวเขาอูราลเป็นตัวแบ่งพอดี ตั้งเมืองเมื่อเกือบสามร้อยปีก่อนในฐานะเป็นจุดยุทธศาสตร์ “หน้าต่างสู่เอเชีย” เป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของรัสเซียต่อจากมอสโก เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และ นาวาซีบีร์สก์ และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของรัสเซีย
เมืองนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นจุดจบแห่งราชวงศ์โรมานอฟเมื่อคราวที่ถูกควบคุมตัวโดยคณะปฏิวัติย้ายไป ย้ายมาจนมาถึงเมืองนี้ และถูกสังหารหมู่ในปี 1918 เพื่อหลีกเลี่ยงการบุกมารับตัวคืนของฝ่ายรัสเซียขาว โดยมีโบสถ์สหนักบุญสร้างทับบ้านอิปาเทียฟหลังเดิมที่เกิดเหตุสลดอุทิศถวายแด่สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟที่สิ้นพระชนม์ในเหตุนั้น
ออกนอกเมืองมาไม่นานจะเจออนุสาวรีย์โอเบลีสก์ แท่งเหล็กพร้อมป้ายเส้นแบ่งเขตทวีปยุโรป – เอเชีย โชว์ให้โลกเห็นไปเลยว่าเราเดินทางข้ามทวีปสำเร็จแล้ว
คาซาน (Kazan)
เมืองหลวงของสาธารณรัฐปกครองตนเอง “ตาตาร์สถาน” แห่งรัสเซียอันเป็นภูมิลำเนาของชาวตาตาร์ ชนชาวอารยะธรรมบนหลังม้าเชื้อสายเติร์ก ในอดีตคือศูนย์กลางแห่งรัฐข่านกระโจมทองอันเลื่องชื่อก่อนที่จะโดนซาร์อิวานที่สี่บุกมาตีเมืองประกาศเอกราชจากพวกตาตาร์มองโกลอย่างเด็ดขาดและทำให้คาซานเป็นประตูสู่ไซบีเรียของรัสเซีย
ไฮไลต์ที่ถ้าไม่มาถือว่ามาไม่ถึงคือ “เครมลินแห่งคาซาน” ที่เป็นเมืองป้อมปราการตั้งอยู่บนเนินริมฝั่งแม่น้ำโวลก้า เครมลินที่นี่ไม่เหมือนกับเครมลินมอสโกเลย เพราะเป็นการควบรวมกันอย่างลงตัวระหว่างโบสถ์คริสต์ออร์โธด็อกซ์แบบรัสเซียและมัสยิดอิสลามแบบตาตาร์ โดยมัสยิดที่ว่าคือ “มัสยิดคอลชารีฟ” (Kul Sharif Mosque) ที่เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
ในเมืองยังมีย่านถนนบาวมานแหล่งรวมรวมที่พัก ร้านรวงช้อปปิ้งต่าง ๆ ขนาบข้างด้วยตึกทรงสวยงามมีความเป็นยุโรปผนรัสเซียและตาตาร์ แถมมีรถไฟใต้ดินที่แต่ละสถานีตกแต่งในสไตล์ตาตาร์ล้วน ๆ เหมือนอยู่ในเมืองแขกมากกว่าอยู่ในรัสเซีย ค่าโดยสารอยู่ที่ 25 รูเบิล (11บาท)
มอสโก (Moscow)
แน่นอนว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเมืองหลวงของรัสเซียที่มีภาพวิหารเซ็นต์บาซิลกลางจัตุรัสแดงเป็นภาพแทนทั้งมอสโกและทั้งประเทศรัสเซียแถมยังเป็นต้นทางของทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียทั้งสองเส้น พลาดไม่ได้กับจุดศูนย์กลางอำนาจรัฐบาลใน พระราชวังเครมลิน (Kremlin) เข้าชมสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นจุดกำเนิดของประวัติศาสตร์รัสเซียที่มีอายุยาวนานกว่า 850 ปี ภายในพระราชวังมโหฬารแห่งนี้ ประกอบด้วยปราสาทราชฐาน โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ คลังแสง อาวุธยุทธภัณฑ์ หอคอย ป้อมปราการ หอสูง ยอดแหลม และโดมมากมาย
พิพิธภัณฑ์อาร์เมอร์รี่แชมเบอร์ (Kremlin Armoury Chamber) ซึ่งเก็บรวบรวมศาสตราวุธต่างๆ ที่ใช้ในการสงครามเครื่องประดับและของมีค่ามากมายของกษัตริย์ตั้งแต่สมัยอดีต ชมความงดงามของรถม้าทองคำ มงกุฎทองคำประดับเพชร บัลลังก์เพชร ตลอดจนเครื่องประดับเพชรของพระนางแคทเธอรีน มหาราชินี ซึ่งสวมในวันราชาภิเษก
พิพิธภัณฑ์พระคลังเพชร (The Kremlin’s State Diamond Fund) ที่จัดแสดง เพชร ทองคำมรกต อำพัน และอัญมณีมีค่ามากมาย แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และร่ำรวยของราชวงศ์รัสเซีย
โบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) เป็นอันขาดเพราะเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในเครมลิน ใช้สำหรับทำพิธีบรมราชาภิเษกในพระราชวังเครมลิน ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบยอดโดม 9 ยอด ภายในมีภาพวาดเขียนสีเฟรสโก และภาพไอคอน แสดงประวัติของพระเยซู ภาพพระแม่มาเรีย พระบุตร พระจิต ปิดท้ายด้วยการถ่ายรูปกับปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และระฆังพระเจ้าซาร์ที่มีน้ำหนักถึง 210 ตัน
ที่อยู่ติดกับเครมลินคือ จัตุรัสแดง (Red Square) สถานที่ที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศ เป็นแบ็คกราวน์ของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในหลายยุคสมัยแม้ในปัจจุบัน ทั้งการสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ การประท้วงการใช้อำนาจของรัฐบาล ถ้าเราเดินลัดเลาะไปตามจัตุรัสแดง
ก็จะผ่านหน้า วิหารเซ็นต์บาซิล (St. Basil Temple) ซึ่งถือเป็นโลโก้หลักของกรุงมอสโก สร้างโดยพระเจ้าอิวานที่สี่ผู้เกรี้ยวกราดเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือพวกตาตาร์และมีตำนานว่าพระองค์สั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้สร้างเพื่อมิให้ไปสร้างสิ่งสวยงามแบบนี้ ที่ใดอีก
เลียบเลาะผ่านหลังพระราชวังเครมลินก็จะเห็นสุสานเลนิน ที่เก็บร่างของเลนินในฐานะบิดาแห่งการปฏิวัติ เดินข้ามฝั่งมาจะเป็นห้าง GUM ห้างสรรพสินค้าหรูที่เก่าแก่ ที่แนะนำให้ซื้อไม่ใช่ของแบรนด์อะไรทั้งสิ้นแต่เป็นไอศกรีมของห้างที่จะมีป้าขายในตู้ โคนละ 50 รูเบิลเอง แต่รสชาติเข้มข้น หวานมันกำลังดี แล้วจะรู้ว่าไอศกรีมรัสเซียอร่อยที่สุดในโลก ถ้าใครขยันหน่อยเดินข้ามาคนละฟากกับฝั่งมหาวิหารเซนต์บาซิล มาฝั่งสวนอเล็กซานเดอร์ที่ทุกต้นชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนผลัดเวรยามของทหารเกียรติยศ ณ สุสานนิรนาม
ข้ามฟากมาหลังเครมลินอีกด้านเลยสวนหลังเครมลินไปหนึ่งแยก เป็น วัดพระคริสต์ผู้ไถ่ (Cathedral of the Christ Saviour) วิหารโดมทองที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียบูรณะขึ้นมาใหม่เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 850 ปีแห่งการสถาปนากรุงมอสโก หลังจากนโปเลียนยกทัพ กลับไป พระเจ้าซาร์ได้มีพระบัญชาให้สร้างวิหารแห่งนี้ ขึ้น ถวายแด่พระเจ้าที่ช่วยรักษามอสโกไว้ได้
อีกไฮไลต์ปังสุด ๆ ที่ไม่มาถือว่ามาไม่ถึงมอสโกก็คือ รถไฟใต้ดิน รถไฟใต้ดินมอสโกเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1935 เรื่อยมาจนปัจจุบันก็ยังไม่หยุดสร้างขยายเส้นทางการเดินทางออกไป นอกจากการใช้เพื่อการขนส่งแล้วยังสร้างเผื่อเป็นที่หลบภัยหากมีภัยสงครามเพราะแต่ละสถานีอยู่ค่อนข้างลึก โดยอยู่ภายใต้แนวคิดพระราชวังใต้ดินของชนชั้นกรรมาชีพ ค่าโดย 55 รูเบิลตลอดสาย (ประมาณ 20 กว่าบาท) ไม่จำกัดเวลา ใครคลั่งใครความงามของสถานีรถไฟใต้ดินมอสโกก็ซื้อตั๋วใบเดียวแล้วอยู่ตระเวณถ่ายรูปในระบบรถไฟฟ้าทั้งวันก็ไม่มีใครห้าม คุ้มค่าตั๋ว 55 รูเบิลแน่นอน
ก่อนกลับบ้านคิดอยากจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปฝากคนที่เรารักหรือคนที่รักเราก็ลองไปเดินเลือกดูที่ตลาดอิสไมลอฟ ตลาดจำหน่ายของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุด สินค้ามีความหลากหลาย เช่น ตุ๊กตาแม่ลูกดก (มาโทร้ชก้า) หีบดนตรี หมวกขนสัตว์ แม่เหล็กติดตู้เย็น พวงกุญแจแบบต่างๆ ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ นาฬิกา สารพัดสารพัน ต่อรองราคาได้สบาย ๆ เพราะพ่อค้า แม่ค้าที่นี่เรียนภาษาไทยกันมาแล้ว เคล็ดลับจากการเดินหลาย ๆ ครั้งของผู้เขียนคือไม่ต้องไปซอกหาร้านที่มันลึกมากยิ่งอยู่ลึก ยิ่งขายแพง ต่อราคายาก เจอมากับตัวแล้ว
บทสรุป
การเดินทางอันยาวนานไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ ระยะทางเกือบหมื่นกิโลเมตรกับการหมุนเข็มนาฬิกาเปลี่ยนเขตเวลาทั้งหมด 9 ครั้งเป็นการลงทุนทั้งทุนทรัพย์และเวลาที่คุ้มค่าเพราะเราจะได้เห็นทุกแง่มุมของรัสเซียผ่านทางรถไฟเพียง 1 เส้นทาง ตั้งแต่เมืองใหม่ในตะวันออกไกลจนถึงเมืองเก่าจุดเริ่มต้นของประเทศที่ยิ่งใหญ่
และก็แน่นอนว่า คุณผู้อ่านทุกๆท่าน ย่อมสามารถเดินทางทำตามความฝันของตนเองได้เช่นกัน เมื่อวันแห่งโอกาสนั้นมาถึงครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเดินทาง
ทริปทัวร์การเดินทางเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย
จะมีสักครั้งในชีวิตไหม ที่จะมีคนพาคุณเดินทางไปบนเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก
“ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย” เส้นทางคลาสสิคยิงยาวจาก “วลาดิวอสตอค” สู่ “มอสโคว” กับ 16 วัน 15 คืน ผ่าน 5 เมืองหลักสุดคลาสสิค ในฤดูกาลท่องเที่ยวที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่ร้อนนนน ไม่หนาวววว ฟินกันไปทุกวัน
เมืองท่าวลาดิวอสตอค อีร์คุสต์ปารีสตะวันออก ไข่มุกแห่งไซบีเรียทะเลสาบไบคาล จุดแบ่งกึ่งกลางทวีปเยคาเทรินเบิร์ค ดินแดนอาณาจักรบุลการ์แห่งคาซาน และปิดท้ายหลักชัยที่กรุงมอสโควมหานคร
ทริปการเดินทางนี้ ราคารวมทุกอย่างหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องจ่ายเพิ่มเติมอีก พร้อมไกด์นำเที่ยวผู้เชี่ยวชาญครับ
รถไฟขบวนนี้พร้อมจะออกเดินทางแน่นอนแล้ว ถ้ามัวช้า รถไฟเต็ม ไม่รู้ด้วยจ้าาา
สนใจร่วมเดินทางกับพวกเรา
เรามีจัดทริปการเดินทางให้กับท่านที่สนใจการเดินทางแบบนี้ การเดินทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียความฝันของทุกคน เรายินดีเป็นผู้ทำความฝันของคุณให้เป็นความจริง ทริปการเดินทางของเราเหมือนกับงานศิลปะหนึ่งชิ้นที่ได้รับการออกแบบดีไซน์และตกแต่งจนกลายเป็นสุนทรียภาพแห่งการเดินทางที่แท้จริง
ไม่ว่าท่านจะมาคนเดียว เป็นคู่ เป็นครอบครัว ก็ลงตัวด้วยการจัดสรรที่พักทั้งบนรถไฟและโรงแรมอย่างสะดวกสบาย ผ่านสามประเทศหลักในเขตทุ่งหญ้าแห่งมองโกลที่จะมอบความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
ติดตามแผนการเดินทางประจำปี พ.ศ.2565 เป็นต้นไปได้ที่นี่
หรือถ้าหากท่านต้องการให้เราจัดกลุ่มส่วนตัวสำหรับครอบครัวของท่าน เราก็ยินดีเช่นกันเพื่อจะทำให้การเดินทางข้ามทวีปครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดีแบบไม่มีวันลืม
- สอบถามเพิ่มเติม โทร : 096 640 4534
- แอด Line : https://line.me/R/ti/p/%40patourlogy
2 Comments
สนใจ on tour ค่ะ ต่อ1ท่าน เท่าไรค๊ะ
เรียนคุณ Nawarat
ปัจจุบันทริปนี้ยังไม่สามารถจัดได้เนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่อิงตามเรทเดิมคือท่านละ 140,000 บาท สำหรับการพักห้องคู่กับสมาชิกอีกท่านค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ