กรีนแลนด์ (Greenland) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ณ บริเวณที่มหาสมุทรแอตแลนติกพบกับมหาสมุทรอาร์กติก ดังนั้นชายฝั่งจะมีอุณหภูมิต่ำอยู่ตลอดเวลา ทำให้สภาพอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบอาร์กติก
และนั่นเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาหารของชาวกรีนแลนด์นั้นมีลักษณะเฉพาะ มาทำความรู้จักกันครับ
ที่มาของชนชาติบนเกาะกรีนแลนด์
เชื่อกันว่าชาวกรีนแลนด์กลุ่มแรกมาถึงเกาะนี้เมื่อประมาณ 4,500–5,000 ปีก่อน (อาจมาจากเกาะเอลส์เมียร์) แต่ชาวอินูอิตยุคแรกเหล่านี้ได้หายตัวไปจากแผ่นดินเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนโดยไม่ทราบสาเหตุ
ตามมาด้วยวัฒนธรรมอินูอิตในยุคหินที่รู้จักกันในนาม วัฒนธรรมดอร์เซต (Dorset culture) วัฒนธรรมการล่าสัตว์เร่ร่อนนี้กินเวลาประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช ก่อนจะหายไปในช่วงเวลาหลังจากนั้น 400 ปี
ต่อมาในคริสตศตวรรษที่ 10 วัฒนธรรมทูเล (Thule culture) แพร่กระจายไปทั่วเกาะกรีนแลนด์ วัฒนธรรมนี้เองที่ได้พัฒนาเรือคายัค ฉมวก และสุนัขลากเลื่อนยุคแรก ทั้งนี้นักมานุษยวิทยายอมรับว่า อินูอิตยุคใหม่ของกรีนแลนด์สืบเชื้อสายมาจากทูเล
ในขณะที่อิทธิพลของทูเลแผ่ไปทั่วเกาะนั้น ก็มีชาวนอร์สผู้บุกเบิกกลุ่มใหม่ (Norse) เข้ามาสำรวจแนวชายฝั่งเป็นครั้งแรก แล้วอีก 80 ปี ต่อมา Erik the Red ก็เริ่มจัดระเบียบการตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ การตั้งถิ่นฐานของชาวนอร์สเจริญรุ่งเรืองมาประมาณ 500 ปี ก่อนจะสูญหายไปในที่สุด
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1775 เดนมาร์กอ้างว่าเกาะนี้เป็นอาณานิคมของตน และในปี ค.ศ. 1953 รัฐธรรมนูญใหม่ของเดนมาร์กกำหนดให้กรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก
วัฒนธรรมอาหารกรีนแลนด์
ด้วยพื้นที่ราบบนเกาะกรีนแลนด์ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมีเพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังปลูกได้เฉพาะในฤดูร้อน เป็นเวลาสั้นๆ ทำให้การได้มาซึ่งอาหาร เป็นเรื่องยากมากในอดีต ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวกรีนแลนด์จึงมุ่งใช้ชีวิตนอกแผ่นดินของเกาะเป็นสำคัญ โดยมีทะเลเป็นแหล่งอาหารหลักในกรีนแลนด์ และมีสัตว์ป่าท้องถิ่นที่ถูกนำมาเป็นอาหารด้วยบางส่วน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา อิทธิพลของเดนมาร์กมีบทบาทอย่างมากต่อวิถีชีวิตในเกาะกรีนแลนด์ วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองรวมถึงชาวอินูอิตจึงถูกกลืนไปกับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป
อาหารกรีนแลนด์มีที่มาทั้งจากบนบกและในทะเล ได้แก่ กวางเรนเดียร์ วัวมัสค์ หมีขั้วโลก แมวน้ำ วาฬมิงค์ วาฬนำร่อง วาฬเพชฌฆาต ปลาไข่ ปลาคอด นกทะเล (เฉพาะฤดูร้อน) ผลเบอร์รี่ (เฉพาะฤดูร้อน) และสมุนไพร (Rumex acetosella) โดยชาวกรีนแลนด์จะใช้วิธีต้มและทำแห้งในการทำอาหาร และใช้การรับประทานดิบๆ กับอาหารบางชนิด
ตัวอย่างอาหารพื้นเมืองของชาวกรีนแลนด์
1.) วาฬในกรีนแลนด์ : การดำรงชีพกับการอนุรักษ์
เมื่อดูรายการอาหารของกรีนแลนด์ ตั้งแต่เนื้อวาฬ ไขมันวาฬ แมวน้ำ วัวมัสค์ ไปจนถึงเป็ดประจำถิ่นอาร์กติก นักอนุรักษ์ย่อมต้องคุ้นเคยกับรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ดี ขณะที่นักมังสวิรัติอาจจะเบือนหน้าหนี แต่สำหรับชาวกรีนแลนด์ที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและผืนดินที่แทบจะไม่สามารถปลูกพืชสีเขียวได้เลย อาหารที่พวกเขาต้องบริโภคนั้น นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอินูอิตแล้ว นั่นยังหมายถึงการเอาชีวิตรอดในสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะแห่งอาร์กติกแห่งนี้ จำเป็นต้องละทิ้งอคติด้านอาหารไว้เบื้องหลังเพื่อลิ้มลองอาหารพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงชาวอินูอิตมานานหลายศตวรรษ
- เนื้อวาฬ (Arfeq Nikkui) วาฬยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอาหารกรีนแลนด์และเป็นแหล่งเนื้อสัตว์ที่สำคัญของชาวเกาะ ในอดีตเนื้อจากวาฬมิงค์ วาฬนาร์วาล วาฬเบลูกา และวาฬฟิน ถูกนำมาปรุงด้วยวิธีการต่างๆ แล้วรับประทาน โดยวิธีที่นิยมกันคือ รับประทานดิบ รมควัน หรือหมัก แต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อวาฬจะถูกทำให้แห้งเพื่อถนอมรักษาไว้ทำอาหารหลัก และยังใช้เป็นอาหารว่างโปรตีนสูงอีกด้วย
- เนื้อวาฬนาร์วาลติดมัน (Qilalukkat Orsua) ชิ้นส่วนเนื้อวาฬที่นิยมกันคือ เนื้อติดไขมัน ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี และไขมัน โดยชิ้นเนื้อวาฬติดมันนี้จะประกอบด้วยผิวหนังชั้นนอกที่แข็ง ชั้นไขมัน และชั้นกระดูกอ่อนสีขาว ชาวกรีนแลนด์จะใช้มีดโค้งที่เรียกว่า Ulu หั่นเนื้อวาฬติดมันเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ แล้วรับประทานกับเกลือหรือซีอิ๊ว
2.) แมวน้ำ
เนื้อแมวน้ำเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงอาหารของชาวอินูอิตมาตลอดระยะเวลาหลายพันปี รวมทั้งยังเป็นอาหารประจำชาติกรีนแลนด์ด้วย
ตัวอย่างเมนูอาหารหลักอย่าง ‘ Suaasat ‘ หรือซุุปข้นที่ส่วนใหญ่มักทำจากเนื้อแมวน้ำ (แต่สามารถทำจากเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ได้เช่นกัน) โดยวัตถุดิบหลักของซุปนี้ประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ข้าวบาร์เลย์และหัวหอม แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะแทนที่ข้าวบาร์เลย์ด้วยข้าวเจ้า เนื่องจากอาจหาข้าวบาร์เลย์ได้ยาก
ขั้นตอนการทำจะเริ่มจากการตัดไขมันส่วนเกินออกจากเนื้อแมวน้ำ จากนั้นใส่เนื้อแมวน้ำในหม้อตุ๋นที่บรรจุน้ำ แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ก่อนนำไปต้ม 30 นาที จะสังเกตได้ว่าน้ำซุปจะกลายเป็นสีเข้มทันที พร้อมกับเลือดและไขมันจากเนื้อแมวน้ำที่ลอยขึ้นสู่ผิวหน้า จากนั้นจึงเติมข้าวและหัวหอมลงในหม้อแล้วต้มจนเดือด ใส่มันฝรั่งและต้มต่อเป็นเวลา 20 นาที หลังจากใช้เวลาทำประมาณ 1 ชั่วโมง suaasat ก็พร้อมเสิร์ฟ
3.) เมนูเด่นสร้างสรรค์จากธรรมชาติของกรีนแลนด์
- วัวมัสค์ (Umimmak) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกขนาดใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์คือ วัวมัสค์ ซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 400 กิโลกรัม โดยอยู่เป็นฝูงทั่วภูมิภาค Kangerlussuaq ของกรีนแลนด์ ขนวัวมัสค์สีน้ำตาลหนาใช้ทำเสื้อกันความหนาว ผ้าห่ม และงานฝีมือประเภทต่างๆ แม้ว่าอาหารจากเนื้อวัวมัสค์จะมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่นิยมคือเสิร์ฟแบบดิบเป็นสเต็กทาร์ทาร์ (ซึ่งเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ทำจากเนื้อดิบ) ชื่อ umimmak ในภาษากรีนแลนด์แปลว่า “คนเครายาว”
- เนื้อแกะกรีนแลนด์ (Sava) เมื่อปศุสัตว์แบบปล่อยอิสระกำลังเป็นที่ต้องการ ทำให้เนื้อแกะกรีนแลนด์เป็นหนึ่งในเนื้อแกะที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นแกะที่เติบโตมาในสภาพที่สะอาดและบริสุทธิ์ เนื้อแกะส่วนใหญ่ในกรีนแลนด์มาจากพื้นที่ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งยังมีทุ่งหญ้าเขียวขจี
- เป็ดทะเล Eider (Miteq) นอกเหนือจากนกชนิดๆ ต่างแล้ว เป็ดทะเล Eider ก็เป็นสัตว์ปีกที่ถูกนำมาทำเป็นอาหารในกรีนแลนด์ ฤดูการล่าเป็ดชนิดนี้มักดำเนินไประหว่างฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงเนื่องจากมีการอพยพออกไปในฤดูหนาว เป็ดตัวผู้จะมีลักษณะที่โดดเด่นด้วยลำตัวสีเข้มและส่วนนูนสีเหลืองสีสันสดใสเหนือจะงอยปากของมัน อย่างไรก็ตาม สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากลิ้มลองเนื้อเป็ดชนิดนี้ ต้องทราบก่อนว่าเนื้อเป็ด Eider นั้นไม่เหมือนกับเนื้อไก่ เพราะเป็นสัตว์ปีกที่เติบโตตามธรรมชาติ จึงมีเนื้อที่เหนียวกว่าเป็ดที่เคยรับประทานในชีวิตประจำวัน
- ปลาคอดแห้ง (Saarullik Panertoq) ปลาค็อดมีมากในแถบอาร์กติก ดังนั้นจึงเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารหลายชนิดในประเทศแถบนอร์ดิก รอบเกาะกรีนแลนด์ที่มีน้ำเย็นจัดนั้นอุดมไปด้วยปลาคอด เมื่อหาปลามาได้ ชาวกรีนแลนด์จะนำมาแล่เนื้อหรือรมควัน โดยวิธีที่ใช้กันมากที่สุดคือ การใส่เกลือและทำให้แห้ง จึงเก็บได้นานขึ้น และปลาคอดแห้งนี้จะนำมารับประทานเป็นของว่างหรือใช้เป็นส่วนผสมหลักในซุปและอาหารท้องถิ่นอื่นๆ
- ไข่ปลา Lumpfish (Nipisaq) สำหรับปลา Lumpfish เป็นปลาในกลุ่มปลาสิงโต หรือปลากะรังหัวโขน แม้ว่าจะไม่ใช่ปลาที่น่าดึงดูดนัก แต่ไข่ของปลาชนิดนี้เป็นอาหารทะเลชั้นยอดในภูมิภาคนี้ ไข่ปลามีความกรุบกรอบ รสชาติอร่อย นับเป็นอาหารโปรดของคนในท้องถิ่น จึงมักใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยในร้านอาหารหลายแห่ง ไข่ปลา Lumpfish มีหลายสี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีชมพูขุ่น เดิมที ไข่ปลา Lumpfish มีฐานะเป็นเพียงตัวเลือกเพื่อทดแทนไข่ปลาคาเวียร์เนื่องจากราคาไม่แพง แต่ปัจจุบันไข่ปลาชนิดนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้นในเรื่องคุณภาพ
เครื่องดื่มยอดนิยมในกรีนแลนด์
กรีนแลนด์เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับความสนุกสนาน การผจญภัย และการพักผ่อน จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากชอบบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ เมื่ออยู่ในกรีนแลนด์ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดที่สามารถค้นพบได้นั้นมีอยู่หลายหลาย
1.) กาแฟกรีนแลนด์
เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรีนแลนด์คือ กาแฟ สามารถพบได้ในทุกมื้อของอาหาร ซึ่งแสดงว่าชาวกรีนแลนด์ชอบกาแฟอย่างจริงจัง กาแฟกรีนแลนด์มีวิธีการเตรียมที่พิเศษเล็กน้อย จึงทำให้มีความแตกต่างจากกาแฟที่ดื่มกันที่อื่น และนั่นคือเหตุผลที่นักท่องเที่ยวควรลิ้มลอง
กาแฟกรีนแลนด์เป็นกาแฟผสมลิเคียวร์คือ Kahlúa (ลิเคียวร์รสกาแฟ ต้นกำเนิดจากเม็กซิโก) และ Grand Marnier (ลิเคียวร์ที่มีกลิ่นส้ม ทำให้มีรสส้มปิดท้ายเวลาดื่มและด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากพอ ทำให้สามารถติดไฟได้ง่าย) แล้วมีวิปครีมปิดหน้าโดยปกติแล้วกาแฟจะถูกจุดไฟก่อนที่จะดื่ม นี่เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักท่องเที่ยวในดินแดนแห่งความสนุกสนาน และน่าพิศวงแห่งนี้
2.) ไอซ์เบียร์
นอกจากการดื่มกาแฟที่ลุกเป็นไฟแล้ว ชาวกรีนแลนด์ยังชื่นชอบไอซ์เบียร์อีกด้วย Greenland Brewhouse เป็นบริษัทที่บุกเบิกการผลิตเบียร์คุณภาพซึ่งผลิตจากน้ำแข็งอาร์กติกธรรมชาติอายุ 2,000 ปี ที่เก็บเกี่ยวจากธารน้ำแข็ง
ทั้งนี้ในการทำเบียร์ ชาวประมงจะต้องรวบรวมน้ำแข็งขึ้นมาบนเรือและส่งไปที่โรงผลิตเบียร์ ไอซ์เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่สำคัญในร้านค้า โรงแรม บาร์ ร้านอาหาร และทุกที่ที่ผู้คนสนุกสนาน นอกจากโรงผลิตเบียร์แล้ว ผู้คนยังปรุงเบียร์ดื่มเองที่บ้านด้วย ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติมานานหลายศตวรรษก่อนที่จะมีกฎหมายจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปี 1954
3.) วิสกี้
ชาวกรีนแลนด์ก็รักวิสกี้เช่นกัน เป็นเครื่องดื่มหนึ่งในชีวิตประจำวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สามารถพบกับวิสกี้หลายยี่ห้อบนเกาะนี้ หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด ได้แก่ Isfjord Single Malt วิสกี้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำจากน้ำแข็งอาร์กติกแล้วไปกลั่นในเดนมาร์ก
อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรลองชิมเครื่องดื่มนี้ คือ รสชาติมาจากการกลั่นคุณภาพสูงในกระบวนการผลิต วิสกี้นี้ผลิตจากข้าวบาร์เลย์ที่ไม่ผ่านการบดและบ่มในถัง Oloroso Sherry ยามที่นักท่องเที่ยวไปตามบาร์ บาร์เทนเดอร์จะนำเสนอเครื่องดื่มนี้แก่ผู้ที่ชื่นชมและชื่นชอบในคุณค่าของเครื่องดื่มวิสกี้อย่างแท้จริง
บทสรุป
อาหารกรีนแลนด์แบบดั้งเดิมเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในแถบอาร์กติก แต่อาหารเหล่านี้สะท้อนถึงวิธีที่ผู้คนบนเกาะเอาชีวิตรอดมาได้นานหลายศตวรรษ ทั้งแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับการตกปลาในกรีนแลนด์ รวมถึงการจับสัตว์ทะเลเพื่อใช้เป็นอาหาร คือสิ่งที่แยกกรีนแลนด์ออกจากประเทศส่วนใหญ่ เพราะอาหารแบบเดียวกันอาจจะเป็นอาหารอันโอชะในประเทศอื่นๆ แต่อาหารจานนี้ก็เป็นเพียงแค่การเอาชีวิตรอดในกรีนแลนด์
อาหารประจำถิ่นกรีนแลนด์นั้นได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสภาพความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกว่า เกาะแห่งนี้มีสีเขียวตลอดปี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประเทศเพื่อนบ้านอย่างไอซ์แลนด์ ยังมีความเขียวขจีมากกว่ากรีนแลนด์ตลอดทั้งปีเสียอีก เนื่องจากเป็นเกาะที่อยู่ใกล้กับเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมาก ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้จึงอยู่ในช่วงฤดูหนาวเกือบทั้งปี ประกอบกับคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ พวกเขาจึงพากันออกทะเลเพื่อความอยู่รอดมาเป็นระยะเวลาหลายศตวรรษ
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้อาหารกรีนแลนด์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับทะเลที่เป็นจุดเริ่มต้นของดำรงชีวิตตามประวัติศาสตร์ของคนที่นี่
อ้างอิงบทความ
- Culture of Greenland
- Living off the Land: The Evolution of Greenlandic Food Culture
- Narwhal Blubber and 9 Other Must-Try Foods in Greenland
- Seal soup for dinner?
- The Most Popular Drinks in Greenland
- Traditional Greenlandic Cuisine Is A Celebration Of Local Seafood