ภูเขาไฟไอซ์แลนด์ เมื่อนึกถึงประเทศ ไอซ์แลนด์ (Iceland) คุณอาจคิดว่าเป็นประเทศที่หนาวเหน็บ มีแต่น้ำแข็งปกคลุมพื้นดิน แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วนั้น ทั่วทั้งไอซ์แลนด์เต็มไปด้วย ภูเขาไฟ !
ไอซ์แลนด์ (Iceland) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก หนึ่งในประเทศที่เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงด้านทัศนียภาพภูมิประเทศที่สวยงาม อันเกิดจากแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและยูเรเชียเคลื่อนออกจากกัน ทำให้เกิดร่องลึก ซึ่งร่องลึกนี้เป็นแหล่งที่หินหนืดใต้พิภพไหลออกมาแล้วแข็งตัวเป็นหินบะซอลต์ ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟนั่นเอง
ไอซ์แลนด์ (Iceland) ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ
ขึ้นชื่อว่า ภูเขาไฟ หลายคนอาจจะกลัวว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่เมื่อเกิดการปะทุของภูเขาไฟขึ้นมา ซึ่งไอซ์แลนด์ก็มีภูเขาไฟกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะทั้งตอนเหนือและใต้ แม้ว่าจะมีภูเขาไฟมากมายในไอซ์แลนด์ แต่ภูเขาไฟแต่ล่ะลูกก็ถือว่าอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ทำให้คนท้องถิ่นเองไม่ได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟมากนัก ในไอซ์แลนด์เองก็มีผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ที่คอยสังเกตและเตือนภัยการปะทุของภูเขาไฟอยู่ตลอด ในทางกลับกันกลายเป็นว่า ภูเขาไฟดึงดูดให้มาท่องเที่ยวกันเสียมากกว่า สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศได้มากขึ้น
คนไอซ์แลนด์ยังใช้ประโยชน์จากภูเขาไฟมากมาย เช่น
- น้ำร้อนที่คนที่นี่ใช้กันนั้นได้มาจากการปั๊มน้ำขึ้นมาจากใต้ดินโดยตรง ซึ่งมีราคาถูกแถมยังเป็นการทำความร้อนที่เป็นมิตรกับโลกเราอีกด้วย
- พืชผักผลไม้ที่นี่ก็ปลูกด้วยดินภูเขาไฟซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ทำให้ได้ผลผลิตดี
- การปลูกพืชผักในกรีนเฮ้าส์หรือโรงเรือน ที่ใช้อุณหภูมิหรือความร้อนจากภูเขาไฟก็ทำให้สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีแม้ในยามฤดูที่หนาวเหน็บ
- การผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานใต้พิภพ ที่คิดเป็นแผล่งพลังงานมากถึง 30%
มากไปกว่านั้นคนไอซ์แลนด์มีความผูกพันกับภูเขาไฟเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่า พ่อแม่มักจะตั้งชื่อลูก ๆ ตามชื่อภูเขาไฟ เช่น “Hekla” อันเป็นภูเขาไฟที่ active มาตั้งแต่หลายพันปีก่อน เกิดการปะทุครั้งใหญ่อยู่หลายครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2000 ได้รับการขนานนามว่า ประตูสู่นรก (The Gateway to Hell) ในยุคกลาง เพราะมีผู้พบเห็นฝูงนกแห่กันบินหนีออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟและเข้าใจผิดว่าเป็นเหล่าดวงวิญญาณที่พยายามหนีออกจากนรกข้างใต้ แต่ปัจจุบันภูเขาไฟนี้ถูกเรียกว่า ราชินีแห่งไอซ์แลนด์ เพราะกินเนื้อที่แทบจะทั้งหมดทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ หรือพ่อแม่บางคนตั้งชื่อลูกว่า “Katla” อันเป็นภูเขาไฟที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ยังคงรอวันปะทุอยู่ และยังมีการสั่นไหวให้รับรู้อยู่เรื่อย ๆ เสมอมา แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังคอยเฝ้าระวังการปะทุของภูเขาไฟนี้อยู่จวบจนถึงปัจจุบัน Katla เป็นอีกหนึ่งภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์โดยอยู่ข้างใต้ธารน้ำแข็ง Myrdalsjökull
ภูเขาไฟในไอซ์แลนด์มีทั้งภูเขาไฟที่ยัง Active พร้อมปะทุอยู่ตลอดเวลา และภูเขาไฟที่สงบ ซึ่งแต่ละแห่งต่างมีความสวยงามให้เราได้ชื่นชมแตกต่างกัน
วันนี้เราจะพาคุณไป 5 ภูเขาไฟที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดในไอซ์แลนด์มาฝาก เริ่มกันที่…
5 ภูเขาไฟไอซ์แลนด์ ที่ห้ามพลาด
ภูเขาไฟ Fagradalsfjall
ที่เกิดการปะทุขึ้นมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดรอยแยกเป็นแนวยาวกว่า 200 เมตร ลาวาค่อย ๆ ไหลออกมาตามรอยแยก ที่พิเศษคือ ลาวานี้เป็นลาวาที่เก่าแก่ที่สุดที่เกิดขึ้นในไอซ์แลนด์กว่า 7000 ปี เป็นหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่น่ามาเยี่ยมชมเพราะภาพลาวาที่แทรกตามรอยแตกเป็นสายนั้นเกิดจากธรรมชาติที่รังสรรขึ้นมาเองจริง ๆ การปะทุครั้งนี้ เป็นการปะทุแบบเอ่อล้นของภูเขาไฟ ไม่ใช่การระเบิด ทำให้ไม่มีควันไฟ เศษหิน หรือขี้เถ้าภูเขาไฟลอยอยู่ในอากาศ เราจึงมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของธารลาวาอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าการปะทุของภูเขาไฟนี้ไม่ได้คร่าชีวิตหรือส่งผลกระทบต่อตึกรางบ้านช่องของคนในท้องถิ่น เนื่องจากเกิดขึ้นในเทือกเขา Geldingadalur ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ บนคาบสมุทร Reykjanes ที่ไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่แล้ว และไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่ในพื้นที่เลย ไม่เหมือนกับตอนที่ภูเขาไฟ Eyjafjallajokull ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ปะทุ ที่เป็นการระเบิดของภูเขาไฟแบบจริงจัง สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนโดยรอบและอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นผงขี้เถ้าภูเขาไฟจนกระทบการเดินทางทางอากาศทั่วยุโรป ดินเป็นพิษ สิ่งมีชีวิตโดยรอบตาย ผู้คนเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางเดินหายใจจากเขม่าควัน และยังส่งผลกระทบให้ภูเขาไฟ Katla ปะทุตามอีกด้วย
ภูเขาไฟ Fagradalsfjall ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง Reykjavik เพียง 4-5 ชั่วโมง หรือถ้าอยากเพลิดเพลินกับทัศนียภาพแบบ exclusive คุณสามารถที่จะเช่าเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินเล็กเพื่อนั่งชมลาวาจากบนฟ้าได้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ก็คุ้มกับครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะได้เห็นลาวาภูเขาไฟแบบนี้ และถ้ายิ่งได้ชมภูเขาไฟในยามค่ำคืน จะยิ่งเห็นไฟลาวาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งไฟจริง ๆ
การเดินทางไปสำรวจภูเขาไฟเกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศแห่งนี้ เนื่องจากมีภูเขาไฟปะทุมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน แต่กลับมีกระแสบูมขึ้นในช่วงต้นปีนี้เพราะว่าการปะทุของภูเขาไฟ Fagradalsfjall เนื่องจากเราไม่เคยได้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสดใหม่ขนาดนี้มาก่อน ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักธรณีวิทยาที่ยังคงต้องการศึกษาความน่าอัศจรรย์ของปรากฏการณ์ใต้พิภพนี้
ภูเขาไฟ Þríhnúkagígur
เป็นภูเขาไฟที่สงบแล้วที่มีชื่อเสียงที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาเยือน เพราะคุณจะไม่ได้แค่ชื่นชมอยู่ด้านนอกเหมือนภูเขาไฟที่ active แต่สามารถเดินเข้ามาไต่เขาอยู่ด้านในภูเขาไฟได้ ลึกลงไปกว่า 120 เมตร โดยมีลิฟต์บริการทำให้ขึ้นลงภูเขาไฟนี้ได้ง่ายขึ้น แม้จะลงลิฟต์ไปถึงด้านล่างแล้วยังมีพื้นที่ให้ได้เดินทางสำรวจความอัศจรรย์ของภูเขาไฟที่มีขนาดเทียบเท่าสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม
ภูเขาไฟ Þríhnúkagígur ถือเป็นภูเขาไฟทึ่มีความพิเศษกว่าภูเขาไฟธรรมดา เพราะโดยปกติแล้วเป็นไปได้น้อยมากที่ภูเขาไฟจะเย็นลงจนมนุษย์เราสามารถลงไปเดินข้างในได้ เราจะสามารถมองเห็นกำแพงหินลาวาหลายสีสันแบบใกล้ชิดในบ่อแม็กซ์ม่านี้ ซึ่งสีสันต่างๆที่แตกต่างกันนี้เป็นผลมาจากแร่ธาตุต่างชนิดกัน อย่างที่ทราบกันว่าภูเขาไฟเต็มไปด้วยแร่ธาตุหลายอย่าง โดยสีแดงมาจากเหล็ก สีเขียวมาจากทองแดง และสีเหลืองมาจากกำมะถัน เป็นต้น
ภูเขาไฟ Snæfellsjökull
หากใครหลงใหลในการเยือนภูเขาไฟตามรอยนิยาย จะต้องไม่พลาดภูเขาไฟลูกนี้ ภูเขาไฟ Snæfellsjökull ตั้งอยู่ทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ในอุทยานแห่งชาติ Snæfellsjökull ภูเขาไฟนี้ปรากฏในนิยายหลายเรื่อง อาทิ
- Journey to the Centre of the Earth ของ Jules Verne ในปี 1864 ที่อ้างว่า ภูเขาไฟแห่งนี้เป็นประตูสู่ศูนย์กลางของโลก
- Under the Glacier ของ Halldor Laxness หนึ่งในนิยายรางวัลโนเบลที่ใช้ภูเขาไฟนี้เป็นฉากหลักของเรื่อง
- นิยายไตรภาคแนววิทยาศาสตร์ Blind Birds ของนักเขียนสัญชาติเช็ก Ludvík Souček
ภูเขาไฟ Snæfellsjökull แห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงาม มีน้ำแข็งปกคลุมด้านบน ลาวาแผ่ล้อมรอบอยู่ด้านข้าง เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานเล่าว่าภูเขาไฟ Snæfellsjökull คนจำนวนมากต่างเชื่อว่าภูเขาไฟนี้เป็นสถานที่ที่มีพลังงานโบราณปริศนา จนทำให้นักเขียน Jules Verne นำไปแต่งเป็นนิยายว่า พลังงานนี้จะพาไปศูนย์กลางของโลก แม้แต่นิทานของคนไอซ์แลนด์ช่วงปลายศตวรรษที่ 14 อย่าง Bárðar saga Snæfellsáss ก็ได้กล่าวถึงภูเขาไฟแห่งนี้โดยเล่าถึงชีวิต Bárður ครึ่งมนุษย์ครึ่งโทรลล์ที่กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ Snæfellsjökull
นอกจากนี้ เชื่อว่าหินที่อยู่รอบนอกภูเขาไฟ คือ โทรลล์ที่โดนแสงอาทิตย์สาดส่องจนกลายเป็นหิน หรือเป็นที่ซ่อนของสิ่งมีชีวิตลึกลับ หรือบางตำนานเล่าว่า เคยมีมนุษย์ต่างดาวลงจอดยานที่นี่ตอนเที่ยงคืน ในวันที่ 5 พ.ย. 1992 เป็นต้น
ภูเขาไฟ Holuhraun
เป็นอีกหนึ่งภูเขาไฟที่น่าสนใจอีกลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ ภูเขาไฟลูกนี้อยู่ทางตอนเหนือภูเขาไฟ Bárðarbunga ที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง Vatnajokull และอยู่เหนือภูเขาไฟ Askja เกิดเป็นชั้นของลาวาทับกันอยู่หลายชั้นที่มีความสวยงามแปลกตา
ภูเขาไฟ Grímsvötn
บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของไอซ์แลนด์มีภูเขาไฟ Grímsvötn ที่ตั้งอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง Vatnajokull นับเป็นภูเขาไฟที่ยังคง Active และปะทุบ่อยที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งคาดว่าหากเกิดภูเขาไฟนี้ปะทุอีกครั้งจะสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ ที่จะมีการปลดปล่อยขี้เถ้าภูเขาไฟออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อแม็กซ์ม่าร้อน ๆ ไหลเจอกับธารน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิต่ำจะทำปฏิกิริยารุนแรงและปล่อยขี้เถ้าจำนวนมาก
นอกจากนี้ ไอซ์แลนด์ยังมีร่องรอยของธรรมชาติที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดภูเขาไฟให้เราได้เห็นกันอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- ปากปล่องภูเขาไฟที่ Hverfell ใกล้ทะเลสาบ Myvatn ตอนเหนือของไอซ์แลนด์ โดยเป็นปากปล่องที่กว้าง เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อหลายพันปีก่อน
- แอ่งภูเขาไฟ Krafla ที่เกิดจากการปะทุกว่า 29 ครั้ง ในช่วงปี 1974-1984 ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่า ไฟคราฟลา (Krafla Fires) โดยแอ่งภูเขาไฟนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์เช่นเดียวกัน และในแอ่งภูเขาไฟแห่งนี้ยังพบปล่องภูเขาไฟชื่อ Víti ที่มีทะเลสาบสีน้ำเงินเขียวมรกตอยู่ด้านใน ชื่อปล่องภูเขาไฟนี้แปลว่า นรก ซึ่งมาจากความเชื่อที่ว่า นรกโลกันต์ตั้งอยู่ใต้ภูเขาไฟนั่นเอง ทะเลสาบนี้แม้จะตั้งอยู่ในภูเขาไฟแต่น้ำกลับเย็นจัด แตกต่างจากแอ่งภูเขาไฟ Askja ที่อยู่บนภูเขา Dyngjufjöll ทางตะวันออกกลางของไอซ์แลนด์ อันมีทะเลสาบด้านในอุ่นกว่า
เรียกได้ว่า ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟมากมาย ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแนวหรือวิธีการเกิด ก่อเกิดเป็นความสวยงามอันยิ่งใหญ่ที่สร้างสรรโดยธรรมชาติ ที่รอให้นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกไปสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษเหล่านี้
อ่านบทความอื่นๆของเรา : อ่านบทความได้ที่นี่
สนใจโปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูร้อน
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูหนาว-ล่าแสงเหนือ (เส้นรอบเกาะ ring road)
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูหนาว ล่าแสงเหนือ ถ้ำน้ำแข็ง
ที่มาบทความ :
- https://www.nordicvisitor.com/blog/7-volcanic-experiences-to-have-in-iceland/
- https://guidetoiceland.is/nature-info/the-complete-guide-to-geldingadalur-volcanic-eruption
- https://guidetoiceland.is/nature-info/the-deadliest-volcanoes-in-iceland
- https://www.bookmundi.com/t/popular-volcanoes-in-iceland